Featured
รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra เรือธงคู่ปากการุ่นใหม่ นี่มัน “Note ชัด ๆ”
รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra เรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung รอบนี้เขาบอกว่าเป็นการรวมตัวของ S + Note เข้าด้วยกัน ยกเอาความสามารถเรื่องกล้องที่ S เด่นมาตลอดกับปากกา S Pen ที่ Note มีมารวมเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ พร้อมสเปคที่จัดเต็มในแบบ Ultra อีกเช่นเคย ทั้งหน้าจอ QHD+ 120Hz ชิปเซ็ตที่แรงที่สุด Snapdragon 8 Gen 1 แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh พร้อมชาร์จไว 45W และกล้องระดับโปรถึง 4 ตัว
หลังจากที่เราใช้งานมากว่า 1 สัปดาห์เต็ม วันนี้ก็ขอมารีวิวให้ชมกันหน่อยว่ามีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบบ้าง พร้อมแล้วมาติดตามรีวิว Galaxy S22 Ultra กันเลยครับ!
สรุปสเปค Samsung Galaxy S22 Ultra
- หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.8”
- ความละเอียด : WQHD+ (3080 x 1440 พิกเซล) Refresh Rate 120Hz
- ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 Octa-core (4nm)
- GPU : Adreno 730
- RAM : 8GB/12GB
- ROM : 128GB/256GB/512GB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จไว : 45W
- กล้องหน้า : 40MP f/2.2
- กล้องหลัง : 4 ตัว
- 108MP กล้องหลัก f/1.8 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 10MP กล้อง Tele 3X f/2.4 OIS
- 10MP กล้อง Periscope 10X f/4.9 OIS
- ระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4
- รองรับเครือข่าย 5G
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2, NFC และใช้พอร์ต USB Type-C
- รองรับ S Pen
- กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
ดีไซน์ที่ยก DNA ของ Note มาชัด ๆ
เริ่มต้นที่ดีไซน์ก่อนเลย อย่างที่บอกว่า Galaxy S22 Ultra นั้นเป็นการผสมผสานระหว่าง Galaxy S และ Galaxy Note เข้าด้วยกัน แต่ในเรื่องดีไซน์ใครที่ตาม Samsung มาตลอด มองแว้บแรกก็คงรู้ว่านี่คือดีไซน์ของ Galaxy Note ชัด ๆ ทั้งความเหลี่ยมและความใหญ่เต็มตาของหน้าจอที่มอบให้
ใช่แล้วครับ Galaxy S22 Ultra นั้นใช้ดีไซน์ตัวเครื่องทรงเหลี่ยมแบบ Note มาเลย ทุกอย่างที่เราสัมผัส หากใครที่เคยลองจับหรือเคยเห็น Note20 Ultra มาก่อน แล้วมาจับเครื่องนี้ก็จะได้ความรู้สึกแบบเดียวกันเลยแต่มีความหนาขึ้นอีกนิดหน่อย ตัวเครื่องยังให้ความรู้สึกที่แน่นหนาแบบที่เรือธง Samsung มอบให้เราเสมอมา จับถือแล้วรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในทุกมิติ และตัววัสดุก็แข็งแกร่งจริงด้วยการใช้กระจก Gorilla Glass Victus+ ทั้งหน้าและหลังเลยครับ
วัสดุงานประกอบของ Galaxy S22 Ultra ใช้กระจกผิวด้านคู่กับเฟรมเครื่องแบบอลูมิเนียมที่ให้ความรู้สึกที่ดีมากเวลาจับถือ มีความพรีเมี่ยมแบบที่เรือธงราคา 3 หมื่นปลาย ๆ ควรเป็น ฝาหลังที่เป็นแบบด้านยิ่งเป็นสีขาวยิ่งเนียนตาไม่เก็บคราบรอยนิ้วมือแบบชัด ๆ เลย เช็ดทำความสะอาดก็ง่ายดาย ในขณะที่กรอบเครื่องที่เป็นโลหะมันวาวก็มีการเคลือบมาอย่างดี แม้รอยนิ้วมือจะติดได้แต่ก็ไม่ติดจนดูเลอะเทอะมากนัก เช็ดนิดเดียวก็สะอาดเหมือนใหม่แล้วครับ
แต่ความขัดใจเดิมที่ Galaxy Note รุ่นหลัง ๆ ทำไว้ก็ยังติดมาที่รุ่นนี้ด้วย ความขัดใจนั้นก็คือขอบที่ “เหลี่ยม” จนเกินไปนี่แหละ ทำให้เวลาเราถือใช้งานแบบเต็มมือหรืออยากจับเครื่องให้แน่นหน่อย จะเจอกับมุมเครื่องที่แอบทิ่มเราอยู่เสมอ แม้รอบนี้จะปรับมุมให้มนขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่โค้งไปเลยแบบ S Series อะเนอะ ใครที่ชอบความโค้งเว้าของ Galaxy S มาตลอด มาเจอ S22 Ultra ทรงนี้อาจไม่ปลื้มเท่าไหร่
หน้าจอโค้งที่ใหญ่แบบเต็มตาจริง ๆ
มาพูดถึงหน้าจอกันบ้าง อย่างที่บอกว่าดีไซน์ของรุ่นนี้เหมือน Note จริง ๆ หน้าจอของ S22 Ultra จึงได้อัตราส่วนแบบ 19.3:9 มา ทำให้จอมีความออกไปทางอ้วนมากกว่าแบบ 20:9 ที่ใช้บน S21 Ultra การจับถือจึงให้ความรู้สึกว่าจอใหญ่กว่าแบบรู้สึกได้ แม้ขนาดหน้าจอจะให้มาที่ 6.8″ เท่ากันก็ตาม ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ Samsung เก่งมาก ๆ ในยุคที่เรือธงต่างก็ขยับหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ส่วนตัวเราว่าไม่มีแบรนด์ไหนทำหน้าจอที่ “ใหญ่” แล้วรู้สึกถึงความ “ใหญ่” ได้เท่า Samsung เลยจริง ๆ
ในเรื่องการแสดงผลก็ใช้จอ Dynamic AMOLED 2X ที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ Samsung ก็เป็นที่หนึ่งมาตลอด การแสดงผลสีสัน ความคมชัดที่ระดับ WQHD+ ก็สูงจนรู้สึกว่าจอสวยสดเอามาก ๆ แถมความสว่างรอบนี้ก็ดันได้สูงสุดถึง 1750nits อีกต่างหาก จะใช้งานกลางแจ้งแบบที่ยืนสู้แดดก็ยังไหวครับ
จอสวยขนาดนี้ เอามาดูหนัง ดูคอนเทนต์ความละเอียดสูงรับรองว่าฟินแน่นอน แต่ในค่าเริ่มต้น Samsung จะตั้งมาให้ที่ FHD+ นะครับเพื่อการประหยัดพลังงาน ถ้าอยากได้แบบคมชัดสุด ๆ ก็เลือกไปที่ QHD+ เพิ่มเติมได้ที่การตั้งค่าเรื่องหน้าจอแสดงผล แนะนำว่าเปิดเถอะครับ มันสวยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเปิดโลกความสมจริงขึ้นมาอีกขั้น ใช้จนชินและจะกลับไปใช้ FHD+ ที่เคยคิดว่าชัดจะรู้สึกว่าจอมัวไปเลย
ส่วนเรื่องการตอบสนองรุ่นนี้อัปเกรดจอเป็น LTPO 2.0 ที่สามารถปรับ refresh rate ขึ้น-ลงได้ตั้งแต่ 1Hz – 120Hz ตามการใช้งานเลย ตัวซอฟต์แวร์ก็มีการปรับจูนมาดีมาก ทำให้ทุกการเลื่อนหน้าจอ เข้าแอปต่างมอบประสบการณ์ความลื่นไหลได้อย่างน่าประทับใจ ไม่มีแอปไหนที่รู้สึกเลยว่าหนืดหรือช้า แต่กลับกันถ้าไม่ได้ใช้งานก็ดูจะประหยัดแบตฯขึ้นได้ด้วยเพราะลดลงไปต่ำสุดได้ถึง 1Hz แหนะรอบนี้
ตำแหน่งที่วางมาดีเกือบทั้งหมด ยกเว้น…
ตำแหน่งปุ่มกดหรือพอร์ตของ Galaxy S22 Ultra ทำได้ดีมากเช่นกัน ปุ่มกดต่าง ๆ วางไว้ที่มุมขวาของตัวเครื่องตามสไตล์สมาร์ทโฟน Samsung ยุคหลัง ๆ ไว้ไว้พอดีไม่ต้องเอื้อมไปกดให้ยุ่งยาก ถือเข้ามือก็กดได้พอดีทั้งหมด ส่วนฝั่งซ้ายก็เรียบ ๆ เลยมีเพียงเส้นเสาอากาศเท่านั้น
ด้านบน-ล่างก็จะใช้ดีไซน์แบบตัดเหลี่ยมไปเลยเพิ่มความเป็นทรง Boxy เข้าไปอีก พอร์ตการเช่ือมต่อของรุ่นนี้จะอยู่ที่ด้านล่างแน่นอนว่าเหลือแค่พอร์ต USB-C อย่างเดียวแล้ว ข้าง ๆ มีลำโพง, ไมโครโฟน, ช่องใส่ซิมและช่องเก็บปากกา S Pen ครับ ใช่แล้วรุ่นนี้มี S Pen ที่เก็บในเครื่องได้แล้วนะ ยิ่งเสริมความเป็น “Note ชัด ๆ” เข้าไปอีก
แต่จุดที่เราติดใจก็มีเหมือนกัน (อีกแล้ว) คือเรื่องของตำแหน่งลำโพงที่วางไว้มุมซ้ายแทนที่มุมขวาแบบ S21 Ultra ทำให้เวลาเราใช้งานแนวนอนอาจเจอปัญหาว่าอุ้งมือของเราจะไปบังได้ ทำให้เสียงที่ออกมานั้นไม่ชัดเจนเท่ากับเว้นว่างไว้เนาะ แต่ตรงนี้เชื่อว่าถ้าใช้งานไปนานกว่านี้ก็คงชินและปรับตัวได้ไม่ยาก
โชคยังดีที่ลำโพงของ Galaxy S22 Ultra นั้นเป็นแบบ Stereo คือใช้งานคู่กับลำโพงสนทนาด้านบนได้ แม้เราจะเผลอเอามือไปบังที่ตัวหลัก ตัวรองด้านซ้ายก็ยังขับเสียงออกมาได้อยู่ ไม่ถึงกับเงียบสนิทไปซะทีเดียวครับ ไหน ๆ ก็พูดเรื่องลำโพงแล้ว ขอชมสักหน่อยละกันเพราะถ้าเราใช้งานได้เต็มที่ไม่มีอะไรมาบัง เสียงที่ได้จากลำโพงของรุ่นนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมาก มิติดีสุด ๆ ใช้ดูหนัง ฟังเพลงแบบไม่ต้องพึ่งหูฟังได้เลยล่ะครับ
S Pen ที่เก็บได้ในตัวเครื่อง
ขอกลับมาที่ S Pen อีกนิดละกันเนาะ รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra นั้นมีช่องเก็บปากกา S Pen ในตัวแบบ Note20 Ultra เลย เราสามารถดึงปากกาออกมาได้โดยการกดที่ปลายลงไปจะมีสปริงเด้งขึ้นมาให้เราดึงปากกาออกมาได้
ซึ่งตัว S Pen ในรอบนี้ก็ยังมีรูปร่างคล้ายกับของ Note20 Ultra เลย หัวยังแหลมน่าใช้งาน พร้อมปุ่มกด 1 ปุ่มเหมือนเดิม เพียงแต่ผิวสัมผัสจะมีความด้านกว่าไม่มีความมันวาวเล็ก ๆ เลย และสีของตัวด้ามก็จะเป็นสีดำทั้งหมด มีเพียงตรงปลายด้าม (บริเวณที่กดแล้วสปริง) ที่เป็นสีตามตัวเครื่องเท่านั้นครับ อย่างในที่นี้เราได้เครื่องสีขาวมารีวิวตรงปลายจะเป็นสีเงินตัดกับสีดำของด้ามชัดเจน
ดีไซน์กล้องหลังที่ไม่มีกรอบมาคลุมแล้ว
ขอพูดถึงเรื่องดีไซน์กล้องเป็นอย่างสุดท้ายของส่วนนี้ละกันครับ ดีไซน์กล้องของ Galaxy S22 Ultra จะแตกต่างจาก S22 หรือ S21 รุ่นอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงเพราะรอบนี้เขาใช้ดีไซน์กล้องแบบเด่น ๆ แต่ละเลนส์แยกออกจากกันชัดเจน ไม่มีกรอบมาคลุมเหมือนรุ่นก่อน ๆ แล้ว รวมเลนส์กล้อง 4 ตัวกับ Laser Autofocus อีกหนึ่ง จึงทำให้วงแหวนที่ด้านหลังนั้นมีมากถึง 5 วงด้วยกัน และยิ่งพออยู่บนเครื่องสีขาวก็แอบเด่นเป็นพิเศษเลยด้วย
แรก ๆ เราอาจจะไม่ชินกับดีไซน์แบบนี้เพราะตอน S21 Ultra ทำไว้โดดเด่นดีมาก แต่พอใช้ไปสักระยะก็จะรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่นี่นา มีความคลาสสิคและเรียบง่ายดี แต่จุดที่น่าเป็นห่วงกับดีไซน์กล้องแบบนี้ก็คือ “รอย” ที่จะเกิดขึ้นได้หากเราไม่ใส่เคส เพราะเลนส์กล้องยังมีความนูนออกมาจากตัวเครื่องพอควร เวลาวางกับโต๊ะเลนส์กล้องจะโดนก่อนแน่นอน และอีกอย่างก็คือ “ฝุ่น” ที่หากใช้ไปนาน ๆ หรือใส่กระเป๋าที่อาจมีฝุ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ เจ้าฝุ่นเหล่านั้นแหละจะคอยมาเกาะที่บริเวณกล้องแน่นอน แต่ยังดีที่สีขาวที่เราได้มารีวิวนั้นไม่ทำให้ฝุ่นนั้นเด่นจนรู้สึกสกปรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนะ แค่ไม่เด่น
แค่เรื่องแรกก็เห็นถึงความเป็น Note ชัด ๆ แล้วใช่ไหมล่ะครับ ตัวเครื่องมีความเหลี่ยมและองค์ประกอบโดยรวมไม่ต่างจาก Galaxy Note เลย แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ เพราะทุกอย่างก็ยังเป็นเรือธงที่สมกับ Samsung จริง ๆ ทั้งความแน่นหนาของงานประกอบ ความหรูหราของวัสดุ หรือจะเป็นหน้าจอที่ยอดเยี่ยมระดับ Top Class เพียงแต่ว่าถ้าคนที่ชอบดีไซน์ของ Galaxy S ที่มีความโค้งมนจับถือได้สะดวกมาตลอด พอมาเจอทรงเหลี่ยมแบบนี้อาจจะไม่ถูกใจนักก็ได้ อ๊ะ…เกือบลืมไปรุ่นนี้ยังมีความสามารถกันน้ำตามมาตรฐาน IP68 เหมือนเดิมนะ ลงน้ำได้ 1.5 เมตรนาน 30 นาที
S Pen ปากกา Stylus ที่ดีที่สุดบนสมาร์ทโฟน
มาต่อในเรื่องไฮไลท์ของ Galaxy S22 Ultra อย่าง S Pen ที่รอบนี้ถูกเพิ่มมาให้แบบที่ไม่ต้องซื้อแยกแบบรุ่นก่อนแล้ว ตัว S Pen ถูกบรรจุไว้ในเครื่องอย่างที่บอกไป ความสะดวกในการใช้งานจึงดีขึ้นเยอะครับ เราอาจจะจด อยากจะเขียน อยากจะวาดตอนไหนก็ดึงออกมาได้เลย
ในเรื่องความสามารถของปากกาก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่มี Stylus ไหนที่ดีเท่า S Pen แล้วจริง ๆ เพราะทั้งหัวปากกาที่แหลม การรองรับแรงกดที่หลากหลายระดับ และความหน่วงที่น้อย และที่สำคัญ S Pen ของ Galaxy S22 Ultra ยังลดความหน่วงลงจาก 9ms เหลือแค่ 2.8ms เท่านั้น เรียกว่าเวลาเราเขียนบนหน้าจอยิ่งเหมือนเราเขียนบนกระดาษเข้าไปอีก (แม้ก่อนหน้านี้จะเหมือนสุด ๆ แล้วก็ตาม) เพราะรอบนี้ Samsung ใช้ AI มาคำนวณการลากเส้นของเราเพิ่มเติม ทำให้เส้นที่ออกมาจาก S Pen นั้นแทบจะติดกับหัวปากกามาเลยก็ว่าได้ครับ
นอกจากนี้ฟีเจอร์เด็ด ๆ ของ Galaxy Note ก็ถูกใส่มาใน S22 Ultra รุ่นนี้ด้วย อาทิ Screen Off Memo, Samsung Notes ที่มีฟีเจอร์แปลงตัวอักษรจากลายมือ, ฟีเจอร์ S Pen Remote ที่ใช้สั่งการชัตเตอร์ถ่ายรูป เลื่อนรูปภาพ เปลี่ยนหน้าสไลด์นำเสนอ เป็นต้น
ซอฟต์แวร์ตัวใหม่ One UI 4.1
มาต่อที่เรื่องซอฟต์แวร์ Galaxy S22 Ultra มาพร้อม One UI 4.1 เวอร์ชั่นล่าสุดของ Samsung ที่ครอบทับอยู่บน Android 12 เรียบร้อย ในเรื่องการทำงานลื่นไหลสมกับเป็น One UI ครับ ลูกเล่นในการปรับแต่งก็มีมาให้พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Color Pallete ที่ช่วยเปลี่ยนธีมสีของเครื่องทั้งหมดไปตาม Wallpaper ได้
หรือจะเป็นลูกเล่นใหม่ ๆ อย่างการปรับแต่ง การใช้งานกล้อง หรือระบบที่คล่องตัวมากขึ้น ตรงนี้เราชอบนะ มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องการถ่ายภาพหรือการทำงานร่วมกับแอป 3rd Party อื่น ๆ ด้วย
ชิปเซ็ต Snapdragon ที่หลายคนรอคอยมาแล้ว!
อย่างที่ทราบกันว่าสมาร์ทโฟนเรือธงของ Samsung มักจะแบ่ง 2 โมเดลคือรุ่นชิป Exynos และ Snapdragon มาตลอด และในบ้านเราก็มักจะได้รุ่นชิป Exynos มาแทบจะทั้งหมด แต่ปีนี้ Galaxy S22 Ultra รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยรอบนี้ใช้ชิป Snapdragon ครับ (เอ้า เฮ!) และเป็นตัวท็อปอย่าง Snapdragon 8 Gen 1 ซะด้วย แน่นอนว่าหายห่วงในเรื่องประสิทธิภาพและการรองรับแน่นอน เพราะชิปเซ็ตตัวนี้จะถูกใช้อยู่บนเรือธงอีกหลายรุ่นในปีนี้แน่ ๆ
ในส่วนของความจุรอบนี้ให้ความจุรุ่นเริ่มต้นมาที่ 8GB + 128GB แรมแอบน้อยกว่ารุ่นก่อนที่ให้มาถึง 12GB เลย แต่ว่า Samsung ก็แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ RAM Plus ที่ใช้รอมมาจำลองให้เป็นแรมเพื่อทดแทนให้การทำงานนั้นลื่นไหลขึ้น ซึ่งเท่าที่เราลองใช้งานมาก็ยังไม่เจอปัญหาใด ๆ เลย เอาจริง ๆ แค่แรม 8GB ที่ให้มาก็ถือว่าเหลืออยู่แล้วแหละ
ส่วนเรื่องผลทดสอบ ก็หายห่วงได้เลยอัปเกรดขึ้นเยอะทั้ง CPU GPU และ NPU หรือ AI พร้อมกันนี้ยังใช้สถาปัตยกรรมแบบ 4nm ที่ประหยัดพลังงานขึ้นอีกด้วย เราทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเยอะจริง ๆ ได้ไป 910958 คะแนนกันเลย
ส่วนฝั่ง Geekbench 5 ที่วัดการทำงานของ CPU เป็นหลัก แม้จะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่ก็เพิ่มขึ้นจนอยู่ในหัวตารางอยู่ดี ได้คะแนน Single-Core ไป 1203 และ Multi-Core อีก 3301 คะแนนครับ
เล่นเกมเป็นไง ความร้อนล่ะ !?
ไหนที่ว่าแรง ๆ นี่สุดท้ายก็ต้องมาลงสนามจริงอย่างการเล่นเกมกันสักหน่อย เพราะในการใช้งานทั่วไปด้วยสเปคระดับนี้มีหรือที่จะไม่ลื่น รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra รอบนี้มี 3 เกมกราฟิกอลังการทั้งหมด ประกอบด้วย Asphalt 9, Call of Duty และ Genshin Impact ครับ
เล่น Asphalt 9 บน Galaxy S22 Ultra
เริ่มที่ Asphalt 9 ก่อนเลย เกมแข่งรถที่ภาพสวยที่สุดตอนนี้ ในการตั้งค่าเราปรับได้ที่ระดับ High Quality หรือสูงสุดอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ตัวเกมยังไม่อนุญาตให้เราปรับ 60fps ได้ คงเพราะความใหม่ของชิปเซ็ตล่ะเนาะ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ตัวเกมทำได้อย่างลื่นไหลเอามาก ๆ ไม่เจออาการกระตุกให้เห็นเลย ยิ่งแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ 6.8″ แบบนี้ยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่
เล่น Call of Duty บน Galaxy S22 Ultra
มาต่อกันที่เกมยิงสุดมันส์อย่าง Call of Duty ด้วยชิประดับท็อปสุดเราจึงเลือกปรับระดับกราฟิกได้ที่ Very High คู่กับเฟรมเรตแบบ Max เลยครับ ทุกเอฟเฟกต์เสริมก็เปิดได้หมดด้วย เท่าที่เล่นมาแบบจริงจัง S22 Ultra เล่นเกมแนวนี้ได้ดีมาก ๆ ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่สะใจและไม่ยาวจนเกินไป บวกกับสเปคที่แรงเหลือ ๆ เล่นได้อย่างลื่นไหลตลอดทั้งเกม ไม่เจออาการกระตุกให้เห็นเช่นกัน ลำโพงคู่ก็ขับเสียงออกมาได้ดีมาก ยิ่งถ้าเล่นในโหมด Battle Royale ที่ต้องอาศัยการฟังเสียงฝีเท้าของศัตรูยังเยี่ยมเข้าไปใหญ่ แม้ตำแหน่งลำโพงจะแอบบดบังได้ง่ายก็ตาม แต่ถ้าจับถือดี ๆ ก็ไม่มีปัญหาครับ
เล่น Genshin Impact บน Galaxy S22 Ultra
ปิดท้ายที่เกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact ที่กินสเปคที่สุดแล้ว เราสามารถเลือกปรับกราฟิกไปได้ที่ระดับสูงสุดเช่นกัน เปิด 60fps เข้าให้ด้วย เท่าที่ลองเล่นจริง ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีเลยในช่วงแรกที่เล่น เฟรมเรตลื่นไหลพร้อมกับภาพที่สวยงามอลังการ แต่เล่นไปสัก 10 – 15 นาที ความร้อนของตัวเครื่องก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแน่นอนว่าพอเครื่องร้อน เกมก็จะมีอาการเฟรมดรอปลงมาบ้าง ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานของเรือธงในยุคนี้และเกมนี้ด้วยครับ
สรุปแล้วในเรื่องประสิทธิภาพก็ทำได้ดีสมกับเป็นเรือธงท็อปสุดของ Samsung ครับ รอบนี้เปลี่ยนมาใช้ชิป Snapdragon แล้วก็คงทำให้แฟน ๆ ได้สบายใจขึ้นเยอะเกี่ยวกับเรื่องการรองรับเกมในอนาคตด้วย ส่วนเรื่องความร้อนที่หลายคนเป็นห่วง แน่นอนว่าชิป Snapdragon 8 Gen 1 ที่แรงขนาดนี้ ถ้าไม่ร้อนเลยคงจะแปลก แต่การจัดการความร้อนของ Galaxy S22 Ultra รอบนี้ก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นครับ ถามว่าร้อนไหม ร้อน! แต่พักสักแป๊บความร้อนก็จะค่อย ๆ ลดลงอย่างเร็วครับ ตรงนี้ถือว่ารับได้เลยล่ะ
กล้องหลัง 4 ตัว ครบช่วงที่สุดพร้อมความเก่งกาจที่เพิ่มขึ้นด้วย AI
อีกไฮไลท์ของ Galaxy S22 Ultra ในรอบนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง “กล้อง” เพราะรอบนี้อัปเกรดมาหลายอย่างเลย Samsung ยังคงใช้กล้องระดับโปรถึง 4 ตัวมาบนรุ่นนี้ มีสเปคคร่าว ๆ ดังนี้ครับ
- 108MP กล้องหลัก f/1.8 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2 AF
- 10MP กล้อง Tele 3X f/2.4 OIS
- 10MP กล้อง Periscope 10X f/4.9 OIS
ถ้าดูจากสเปคแล้วต้องยอมรับว่า Galaxy S22 Ultra แทบจะให้กล้องชุดเดียวกับ Galaxy S21 Ultra มาเลย แต่เอาเข้าจริงชุดเดียวกันก็ไม่ได้แย่เลยเพราะรุ่นที่แล้วก็ครบช่วงสุด ๆ แล้วล่ะครับ เราสามารถเก็บภาพได้ตั้งแต่มุมกว้าง 120º ไปจนถึงระยะซูมถึง 100 เท่าตัว! เรียกว่าครบที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนตอนนี้แล้วครับ แถมยังมีกล้องหลักที่ความละเอียดสูงถึง 108MP มาให้ใช้อีก
แต่ ๆ อย่าเพิ่งคิดว่าพอมาเป็นแบบนี้แล้วคุณภาพจะเทียบเท่ากับรุ่นก่อนซะทีเดียวล่ะครับ เพราะรอบนี้ Samsung ก็ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ โดยเฉพาะ AI ให้ฉลาดยิ่งขึ้น ทำงานได้ไวขึ้นในการประมวลผล ปรับแต่งรูปภาพของเรา ซึ่งเท่าที่เราลองใช้งานจริงตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็บอกได้เลยว่าประทับใจจริง ๆ ครับ
ในการประมวลผลหรือเลือกซีนทำได้เร็วขึ้นชัดเจน จ่อปุ๊บก็รู้ว่าคืออะไร ในเรื่องการประมวลผลหลังถ่ายยังมีการหมุน ๆ ให้เห็นอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ออกมาน่าประทับใจมาก คือเรียกว่า AI เก่ง เราแค่เลือกองค์ประกอบภาพให้ดี หลังจากนั้นเรื่องแสงหรือสีสันกล้องจะจัดการทั้งหมดเอง และทำได้ดีด้วย โทนสีในรอบนี้จะมีความอมเหลืองนิด ๆ แต่ก็ให้ความสวยสดที่ดีในการถ่ายอาหารหรือภาพที่มีแสงเยอะ ๆ ครับ HDR ก็ยังเก่งเหมือนเดิม รวมถึงโทนสีท้องฟ้าที่เรายอมรับเลยว่าไม่มีใครทำได้ดีเท่า Samsung อีกแล้วครับ
มีโหมดความละเอียดสูง 108MP พร้อม Detail Enhancer
อย่างที่บอกไปว่าเซ็นเซอร์กล้องหลักของ S22 Ultra นั้นให้มามากถึง 108MP แต่ในการทำงานจริงจะมีการรวมพิกเซลและลดขนาดลงมาเหลือแค่ 12MP เพื่อการใช้งานที่สะดวกและไฟล์ไม่ใหญ่มากนัก แต่แน่นอนว่าโหมด 108MP ที่ให้เราได้ใช้ความสามารถเต็ม ๆ ของเซ็นเซอร์ก็ยังคงมีให้เลือกอยู่ ซึ่งรอบนี้มีเพิ้ม Detail Enhancer เข้ามาเก็บรายละเอียดให้คมชัดขึ้นไปอีกด้วย และผลลัพธ์ที่ได้ก็บอกเลยว่าคมมาก จะครอปแบบ 100% – 200% ก็ยังได้เลย
กล้อง Ultra Wide เก็บมุมกว้าง ถ่าย Macro ได้ด้วย
ต่อมาเป็นกล้อง Ultra Wide ที่ให้ความละเอียดมา 120º กว้างถูกใจเลย ไฟล์ที่ได้ทำออกมาได้ดีเลยครับ สีสันใกล้เคียงกับกล้องหลักพอสมควร และพอสีมันคล้ายกับกล้องหลังซึ่งคือข้อดีมาก เพราะกล้องหลักทำมาดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะสีท้องฟ้าอย่างที่บอกไปเนาะ ใครที่ชอบถ่ายภาพวิวแบบสีสวย ๆ ถ่ายได้ง่าย จะต้องหลงรักกล้อง Ultra Wide ของ S22 Ultra แน่นอนครับ
ภาพจากกล้อง Ultra Wide ภาพจากกล้องหลัก
และนอกจากกล้อง Ultra Wide จะเก็บภาพมุมกว้างได้แล้ว ก็ยังเก็บภาพระยะใกล้หรือ Macro ได้ด้วย ตรงนี้ Samsung จะใช้ชื่อเรียกว่า Focus Enhancer ซึ่งด้วยความที่เป็น Macro จากกล้องคุณภาพสูง ผลลัพธ์ที่ได้จึงสวยคมอยู่ไม่น้อยเลยล่ะครับ
ซูมโหดขึ้น คมชัดกว่าที่เคย
มาต่อกันที่ 2 กล้องสุดท้ายอย่างกล้องซูม Galaxy S22 Ultra นั้นได้ช่วงซูมแบบ Optical มา 2 ระยะคือ 3X และ 10X เพื่อมาเติมเต็มการซูมทั้งระยะกลางและระยะไกลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในระยะ 3X คงไม่ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วเพราะเป็นระยะมาตรฐานที่ใช้กันในเรือธงหลาย ๆ รุ่น ตรงนี้ S22 Ultra ทำได้ดีมากเพราะเพิ่มระยะให้เราเข้าใกล้ได้โดยไม่ต้องเดินเข้าไป แถมมุมมองยังน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วย อย่างการถ่ายอาหารหรือแก้วกาแฟ ถ้าถอยออกมาหน่อยแล้วซูมเข้าไปก็จะได้ระยะที่พอดิบพอดีเลย
ส่วนระยะไกลกว่านั้นตั้งแต่ 10X ขึ้นไป ตรงนี้จะสลับมาใช้กล้อง Periscope อีกตัวแทน ซึ่งช่วยให้เราได้ภาพที่คมชัดไปอีกแบบ ในระยะ 10X ถ้าโฟกัสเข้ากดยังไงก็ชัดครับ ไฟล์ดีงามมากด้วย แต่ความเก่งกาจของ AI ในรอบนี้ไม่ใช่แค่ 10X ซะแล้ว เราจะซูมไปที่ระยะ 20X – 30X ก็ยังคงคมชัดอยู่มาก เรียกว่าระยะไกลออกไปถ้าแสงเพียงพอและโฟกัสเข้าก็หวังผลได้เช่นกัน ไม่สั่นหรือเบลอง่าย ๆ เหมือนรุ่นก่อนแล้วตรงนี้เราชอบมาก
Nightography กลางคืนที่เก่งกาจ
มาถึงโหมดกลางคืนหรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อยกันบ้าง Galaxy S22 Ultra มาพร้อมความสามารถในการถ่ายกลางคืนที่ดีขึ้นมาก จน Samsung ต้องคิดชื่อใหม่ให้เลยว่า Nightography ซึ่งหลังการทำงานก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรมากนัก คือตัวกล้องจะถ่ายภาพในหลาย ๆ สภาพแสงหลังจากที่เรากดชัตเตอร์ 1 ครั้งและนำเอาภาพที่คมชัดทั้งแสงจ้าแสงมืดมารวมกันและประมวลผลเปลี่ยนเป็นภาพกลางคืนที่สวยงามนั่นเองครับ
ซึ่งฟีเจอร์นี้เราไม่ต้องไปแตะต้องอะไรให้ยุ่งยากครับ ให้ AI จัดการเหมือนเดิม เรามีหน้าที่เล็งและถ่ายพอ AI ที่ประมวลผลเร็วขึ้นเวลาเราจะถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็จะแนะนำ Night mode ขึ้นมาทันที ใช้เวลาในการจับภาพไม่นานประมาณ 1 – 2 วินาทีต่อภาพเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่ายอดเยี่ยมครับ Night mode ของ Samsung รอบนี้จะให้ภาพที่สมจริง คือกลางคืนออกมาเป็นกลางคืน ไม่ใช่สว่างจ้าเหมือนกลางวันครับ แต่ถ้าเป็นที่แสงน้อยมาก ๆ กล้องก็สามารถขุดขึ้นมาได้โดยที่ Noise ไม่เยอะด้วยนะ
ปิด Night mode เปิด Night mode
Portrait mode ที่เก่งขึ้น ตัดขอบอย่างเนียน
ปิดท้ายที่โหมด Portrait ละกันครับ รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra มาพร้อมโหมด Portrait เหมือนเดิม ใช้งานได้ 2 ระยะคือ 1X หรือ 3X ซึ่งจะสลับไปใช้ตามกล้องในระยะนั้น ๆ จริงจริงครับ พอมี 2 ระยะแบบนี้ก็เหมาะกับการถ่ายคนมาก ๆ อยากได้เต็มตัวก็กดที่ 1X หรืออยากได้ครึ่งตัวภาพไม่บวมก็ใช้ 3X ไปเลย รอบนี้ Samsung บอกว่าได้ AI จัดการการตัดขอบที่เนียนมากขึ้น ซึ่งเท่าที่เราลองก็บอกเลยว่าเนียนขึ้นจริง ๆ ทั้งโทนสีของแบบและการละลายฉากหลังที่เป็นธรรมชาติไม่หลอกจนเกินไป นอกจากนี้เรายังสามารถใช้งาน Portrait Night mode ได้แล้วด้วย จะถ่ายคนตอนกลางคืนก็เอาอยู่ภาพไม่มัวหรือ Noise กระจายอีกต่อไป
นอกจากภาพนิ่งแล้ว โหมด Portrait Video ก็มีมาให้ใช้งานด้วย ซึ่งความดีงานของโหมดนี้ก็คือเราสามารถปรับระดับความเบลอและเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ได้ขณะถ่ายเลยด้วย อยากเบลอมาก เบลอน้อย หรืออยากใส่เอฟเฟกต์ดูสีทำได้หมดขณะถ่ายเลย ผลลัพธ์ก็ออกมาสวยเนียนตาเอามาก ๆ
กล้องหน้า 40MP มี Autofocus
กล้องหลังโหดขนาดนั้นแล้ว กล้องหน้าก็ไม่น้อยหน้าสิครับ Galaxy S22 Ultra ให้กล้องหน้าความละเอียด 40MP มาเลย แถมยังมี Autofocus ให้ภาพคมชัดและได้หลังละลายเล็ก ๆ อยู่แล้วด้วย ความเนียนก็อยู่ในระดับกำลังดีมี Portrait ให้ใช้เพิ่มความเด่นอีกด้วย
สำหรับโหมดวิดีโอ Galaxy S22 Ultra ก็รองรับสูงสุดถึง 8K 24fps กันเลย เรียกว่าสวยคมเอามาก ๆ ถ้าถ่ายวิดีโอมาแล้วอยากจะแคปเป็นภาพนิ่งก็ได้ความละเอียด 33MP กันเลยนะ แต่ในความละเอียดนี้จะมีข้อจำกัดก็คือภาพจะถูกครอปเข้าไปเยอะ และเฟรมเรต 24fps ก็แอบไม่ลื่นไหลเท่าไหร่ ถ้าเราอยากได้ความสามารถแบบครบถ้วนจริง ๆ เลือกไปที่ 4K 30fps หรือ 4K 60fps ก็ได้ เพราะความละเอียดระดับนี้ใช้ได้ทุกเลนส์ตั้งแต่กล้องหลังยันกล้องหน้ากันเลยล่ะครับ
สรุปในเรื่องกล้องต้องยอมรับว่า Galaxy S22 Ultra นั้นทำได้ดีขึ้นจริง ๆ แม้ฮาร์ดแวร์กล้องจะคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ด้วยซอฟต์แวร์ตัวใหม่ ความฉลาดที่มากขึ้นของ AI จากชิป Snapdragon 8 Gen 1 ทำให้คุณภาพกล้องดูดีขึ้นจากรุ่นก่อนอยู่หลายจุดเลย ทั้งการซูม กลางคืน หรือ Portrait ความง่ายของการถ่ายยังคงเป็นจุดเด่นของ Samsung เสมอมา คือแค่เล็ง ถ่ายเป็นพอ ไม่ต้องมีลูกเล่นเยอะแยะจนสับสน ถือว่าเป็นเรื่องที่อัปเกรดมาได้สมกับที่คุยไว้จริง ๆ ครับ
แบตเตอรี่ 5000mAh ใช้งานได้ดีอยู่นะ
ปิดท้ายของจริงที่เรื่องแบตเตอรี่ครับ Galaxy S22 Ultra ให้แบตเตอรี่มา 5000mAh เยอะจุใจกันเลยล่ะ Samsung เคลมว่าแบตฯใช้งานได้ตลอดทั้งวันสบาย ๆ เท่าที่เราลองใช้งานมา ช่วง 2 – 3 วันแรกที่ระบบกำลังปรับตัวเข้ากับการใช้งานของเราบอกตรง ๆ ว่าแบตฯไหลพอสมควร ชาร์จประมาณ 2 รอบถึงจะเพียงพอ แต่หลังจากที่ระบบเรียนรู้การทำงานของเราแล้วก็ดีขึ้นมากครับ เราสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันในการทำงานทั่วไป เล่นเกมบ้าง ถ่ายรูป โซเชี่ยลเป็นหลักประมาณนั้น ดึงที่ชาร์จตอน 8 โมงเช้าถึงบ้านตอนค่ำ ๆ ก็ยังเหลือราว ๆ 30% ครับ
ชาร์จไวเป็น 45W แล้ว แต่…
สำหรับระบบชาร์จ Galaxy S22 Ultra ให้ระบบชาร์จไว Super Fast Charging 2.0 ที่ความเร็ว 45W กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เคยใช้บน Note10+ ไปแล้วก็ถอดออกในรุ่นหลัง ๆ ซึ่งความเร็วก็ทำได้ดีเลย แต่น่าเสียดายที่เราต้องซื้อที่ชาร์จมาใช้งานเองเพราะในกล่องไม่มีที่ชาร์จแถมมาให้นี่เนอะ
ราคาเริ่มต้น 39,900 บาท
สรุปราคากันสักหน่อยครับ Galaxy S22 Ultra วางจำหน่ายในบ้านเรา 3 รุ่นความจุมีราคาแต่ละรุ่นดังนี้
- รุ่น 8GB + 128GB ราคา 39,900 บาท
- รุ่น 12GB + 256GB ราคา 43,900 บาท
- รุ่น 12GB + 512GB ราคา 47,900 บาท
โดยตอนนี้ก็ยังเปิดให้สั่งจองล่วงหน้ากันอยู่ – 3 มีนาคมนี้ สำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าจะมีโปรโมชั่นอัปเกรดความจุฟรีมูลค่า 4,000 บาทไปเลยครับ
- Shopee : https://bit.ly/3vpL5Fw
- Lazada : https://bit.ly/351CKNT
- JD Central : https://bit.ly/3IlpNfX
สรุปแล้ว “นี่คือเรือธงคู่ปากการุ่นใหม่ที่ทุกคนรอคอย”
สรุปแล้ว Galaxy S22 Ultra ก็คือเรือธงคู่ปากการุ่นใหม่ที่ออกมาตอบโจทย์ผู้ใช้ Note ที่กำลังรอรุ่นอัปเกรดอยู่จริง ๆ ครับ อย่างที่เห็นในทุกส่วนที่เรารีวิวมา S22 Ultra นี้ก็คือ Note รุ่นใหม่ที่ไม่ได้ใช้ชื่อ Note แล้วก็เท่านั้นเอง ทุกอย่างที่นำเสนอออกมาคือความครบเครื่องในด้าน Productivity อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ใหญ่ระดับ 6.8″ ความละเอียดสูงการตอบสนองไว ปากกา S Pen ที่ตอบโจทย์คนทำงาน คนที่ชอบจดบันทึก หรือนักวาดแบบไม่มีใครเทียบได้ ส่วนสเปคอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นการอัปเกรดตามรอบที่ยกระดับการใช้งานให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชิป Snapdragon 8 Gen 1 ท็อปที่สุด ณ ตอนนี้ แบตเตอรี่ 5000mAh มีระบบชาร์จไว 45W และที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องกล้องไฮไลท์อีกอย่างที่ถูกอัปเกรดได้สมกับเป็น Samsung ใครที่อยากอัปเกรด Note รุ่นเก่าพอดีหรืออยากได้เรือธงที่ยกระดับการทำงานบนสมาร์ทโฟนให้มากกว่าเดิม Galaxy S22 Ultra คือที่สุดแล้วในตอนนี้ครับ!
จุดเด่น
- หน้าจอที่ใหญ่แบบจริงจัง พร้อมความตระการตาระดับ QHD+
- บอดี้งานประกอบแน่นหนา ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม
- Snapdragon 8 Gen 1 ที่รอคอย!
- มี S Pen ปากกา Stylus ที่ดีที่สุดบนมือถือ
- กล้องที่ยอดเยี่ยมทุกสถานการณ์
จุดสังเกต
- ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเมื่อใช้งานหนัก โดยเฉพาะใช้กล้องถ่ายรูป
- ดีไซน์กล้องหลังเสี่ยงต่อการเป็นรอยมาก ควรหาเคสมาใส่ด้วย