Smart Review
รีวิว Samsung Galaxy S23 Ultra การอัปเกรดใหม่ที่เต็มไปด้วยความ “พี๊คคค” อย่างแท้จริง!
รีวิว Galaxy S23 Ultra เรือธงรุ่นล่าสุดของ Samsung ที่เรียกว่าสร้างปรากฎการณ์ความ “พี๊คคค” ไปอย่างถล่มทลายตั้งแต่เปิดจอง เพราะรอบนี้อัปเกรดเยอะทั้งกล้องหลัง 4 ตัวความละเอียดสูงสุด 200MP ชิปเซ็ตใหม่ Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy อัปเกรดจริงด้วยหน่วยความจำแบบใหม่ RAM LPDDR5X Storage UFS 4.0 ที่เร็วขึ้น 2 เท่า! สานต่อความสำเร็จของรุ่นก่อนได้อย่างสมศักดิ์ศรีทีเดียว
และหลังจากที่เราใช้งานมาจนเต็มที่ วันนี้ก็จะมารีวิวให้ชมทั้งจุดที่ปรับปรุงไปจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด และจุดที่ยังติดใจเราอยู่ จะมีอะไรบ้าง ติดตามได้จากรีวิวเต็ม Galaxy S23 Ultra นี้เลยครับ!
สรุปสเปค Samsung Galaxy S23 Ultra
- หน้าจอ : Dynamic AMOLED 2x ขนาด 6.8”
- ความละเอียด : WQHD+ (3080 x 1440 พิกเซล)
- Refresh Rate : 1-120Hz แบบ LTPO
- ชิปเซ็ต : Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy Octa-core 3.36GHz (4nm)
- GPU : Adreno 740
- RAM : 8GB/12GB
- ROM : 256GB/512GB/1TB
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จไว : 45W Super Fast Charging
- กล้องหน้า : 12MP f/2.2
- กล้องหลัง : 4 ตัว
- 200MP กล้องหลัก f/1.7 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 10MP กล้อง Tele 3X f/2.4 OIS
- 10MP กล้อง Periscope 10X f/4.9 OIS
- ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย One UI 5.1
- รองรับเครือข่าย 5G
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.3, NFC และใช้พอร์ต USB Type-C
- รองรับ S Pen
- กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
- สีสัน : ดำ Phantom Black, ครีม, เขียว และม่วง Lavender
แกะกล่อง Galaxy S23 Ultra
รอบนี้เราได้เครื่องมาพร้อมกล่องครบเลยก็จะขอแกะกล่องให้ชมกันนิดหน่อยละกันเนาะ ที่หน้ากล่องรอบนี้ปรับดีไซน์ไปอีกนิดหน่อย ใช้ภาพประกอบเป็นฝาหลังตัวเครื่องพร้อมสีสันที่แยกไปตามสีเครื่องจริง ๆ เลย และอย่างที่เห็นครับสีที่เราได้มารีวิวคือสีครีมนั่นเอง
ตัวกล่องยังคงมีขนาดที่เล็กกะทัดรัดเหมือนเดิม รอบนี้รักษ์โลกมากขึ้นด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่ติดป้องกันตัวเครื่องเป็นกระดาษทั้งหมด และของภายในกล่องก็ให้มาแค่ 4 อย่างเหมือนเดิมประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง Galaxy S23 Ultra
- สายชาร์จ USB-C to C
- เอกสารคู่มือ
- เข็มจิ้มถาดซิม
ให้มาแค่นี้เลย ส่วนฟิล์มกันรอยก็ไม่มีติดมาให้แล้วนะครับ (จริง ๆ ก็ไม่มีตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว)
ดีไซน์ที่คล้ายเดิม แต่ลงตัวขึ้นจนสัมผัสได้
ได้เวลาชมมาชมดีไซน์เต็ม ๆ ของ Galaxy S23 Ultra แล้วครับ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นตัวดีไซน์มาเยอะแล้ว และทุกครั้งที่เห็นก็มักจะรู้สึกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “เหมือนเดิมมาก” ใช่แล้วครับ ดีไซน์โดยรวมของ S23 Ultra รอบนี้แทบไม่ต่างจาก S22 Ultra เดิมอย่างมีนัยสำคัญเลย ทั้งทรงเครื่องที่เป็นแบบเหลี่ยมตัดบน-ล่าง กล้องหลังที่วางเรียงกันแบบไม่มีกรอบอะไรมาคลุม
แต่ถ้าเราลองมาดูที่กรอบเครื่องจะเห็นว่ารอบนี้ Samsung เพิ่มความเหลี่ยมของกรอบเครื่องขึ้นและลดความโค้งของหน้าจอลงอีกหน่อย ทำให้เวลาเราจับถือจะได้ความรู้สึกที่มั่นคงและเต็มมือกว่าเดิมอย่างสัมผัสได้เลยล่ะครับ
นอกจากนี้ด้วยความที่หน้าจอมีความโค้งที่ลดลงจึงทำให้เวลาเราใช้งานจะได้ความรู้สึกเต็มตาขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ยังได้ความเซ็กซี่จากความโค้งของหน้าจอรวมถึงสัมผัสที่ลื่นไหลเวลาใช้งาน Gesture Navigation อีกด้วยครับ
หน้าจอสเปคเดิม ก็ยังสวยเว่อวังเหมือนเดิมแหละ
ไหน ๆ ก็มาเรื่องจอแล้ว เราขอต่อที่สเปคหน้าจอกันเลยละกันครับ Galaxy S23 Ultra ยังได้หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.8″ เท่าเดิม เป็นจอ Infinity-O ที่มีรูกล้องหน้าอยู่ตรงกลางเหมือนกัน ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องความโค้งที่น้อยลงก็แทบจะไม่ได้ต่างจากรุ่นก่อนเลยครับ
แต่…ความอลังการของหน้าจอ S22 Ultra เมื่อปีที่แล้วก็ยังถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของตลาดอยู่ดีทั้งความละเอียดสูงสุด WQHD+ (3088 x 1440 พิกเซล), Refresh rate ที่ปรับได้ตั้งแต่ 1 – 120Hz, มาตรฐานที่รองรับ HDR10+ หรือความสว่างสูงสุดที่ 1750nits เรียกว่าเป็นหน้าจอที่สวยสุด ๆ ที่ถึงแม้จะผ่านมาเป็นปีแล้วก็ยังหาคู่แข่งมาเทียบได้ยากอยู่เลยล่ะครับ
ถ้าเอามาดูคอนเทนต์จริง ๆ จะรู้สึกได้เลยว่าสวยเต็มอิ่มเอามาก ๆ แถมด้วยความที่ความโค้งของจอลดลงอย่างที่บอกไป ทำให้เวลาเราดูคอนเทนต์แบบตรง ๆ จะได้ภาพที่เต็มขึ้นอีกนิดด้วย บอกแล้วว่าสัมผัสได้จริง ๆ
อ๊ะ…ลืมบอกไปตัวกระจกหน้าจอของ Galaxy S23 Ultra รอบนี้อัปเกรดขึ้นเป็น Gorilla Glass Victus 2 แล้วด้วยนะ ทนต่อการตกมากขึ้นและใช้วัสดุรีไซเคิลที่เพิ่มความรักษ์โลกเข้าไปอีกด้วยแหละ
ตำแหน่งที่กดได้ถนัดมือเหมือนเดิม
ด้วยความที่ของเดิมดีอยู่แล้ว ตำแหน่งปุ่มกดของ Galaxy S23 Ultra ก็ยังวางไว้ในมุมเดิมคือปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่ม Power อยู่ที่ฝั่งขวาของตัวเครื่องทั้งหมด ซึ่งพอกรอบเครื่องมีพื้นที่มากขึ้นทำให้เวลาเราแตะหรือกดปุ่มก็สะดวกขึ้นอีกนิดด้วยจากความรู้สึกเราน่ะนะ
ด้านบน-ล่างก็ยังตัดเหลี่ยมไปหมดมีความ Boxy มาก ๆ ด้านบนมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนพร้อมเส้นเสาอากาศ
ส่วนด้านล่างก็มีพอร์ตการเชื่อมต่อ, ไมโครโฟน, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง, ช่องใส่ซิม และช่องเก็บปากกา S Pen เหมือนเดิมครับ
ลำโพงเสียงดีขึ้นอีก!
แม้ตำแหน่งของลำโพงยังอยู่ที่มุมเดิมไม่เปลี่ยนแต่การอัปเกรดในรอบนี้ Galaxy S23 Ultra จะมอบเสียงลำโพงได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอีกพอสมควร เสียงเบสแน่นขึ้น ให้มิติที่ดีขึ้นและแน่นอนว่ายังคงรองรับเอฟเฟกต์เสียงจาก Dolby Atmos เหมือนเดิม ใครที่ชอบดูหนัง ฟังเพลงผ่านลำโพงตัวเครื่องรอบนี้เสียงดีขึ้นอีก!
กล้องหลังที่อลังการขึ้น
ขอวนดูที่ดีไซน์กล้องหลังกันอีกสักที แม้จะบอกว่าดีไซน์คล้ายเดิมมาก แต่ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ากรอบเลนส์กล้องมีการเพิ่มความโค้งว้าวของตัวกรอบเลนส์เข้าไปอีก และขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งหากเทียบกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาจากกล้องหลัก 108MP มาเป็น 200MP ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่เทอะทะจนเกินเบอร์ มีความลงตัวในแบบที่รับได้อยู่ครับ
มุมเครื่องที่ยังเหลี่ยมเหลือเกิน
ชมไปหลายจุดแล้วสำหรับข้อดีที่ติดมาจากรุ่นก่อน จะไม่พูดถึงจุดขัดใจก็คงไม่ได้เนาะ เรื่องแรกก็คือความเหลี่ยมของตัวเครื่องที่ยังคงมีมุมทิ่มอุ้งมืออยู่เหมือนเดิม ถ้าเราใช้งานแบบไม่ใส่เคสเลยอาจจะโดนอยู่บ่อย ๆ เวลาถือเครื่องแบบจับเต็มมือ
แต่ก็นะ…เชื่อว่าสุดท้ายแล้วส่วนใหญ่ก็คงใส่เคสกันอยู่แล้ว และพักหลัง Samsung เองก็มีเคสออกมารองรับกันเพียบ หรือจะเป็น 3rd Party อย่าง Casetify ก็มีให้เลือกมากมายไม่แพ้กันครับ
จอย่นมีจริงไหม มีผลกับการใช้งานแค่ไหน !?
และอีกเรื่องที่มีพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องก็คือเรื่อง “จอย่น” ที่บอกตรง ๆ ว่าเครื่องที่เราได้มารีวิว รวมถึงเครื่องที่เราสั่งซื้อไปก็พบเหมือนกันหมดครับ ซึ่งจะพบบริเวณมุมล่างของหน้าจอเป็นคลื่น ๆ เมื่อมีการกระทบกับแสง แต่ก็ไม่ใช่จุดใหญ่แบบกวนสายตาเรามาก ๆ บอกเลยว่าในการใช้งานทั่วไปไม่เป็นจุดสังเกตขึ้นมาแน่นอน เราตอบคำถามให้ตรงนี้เลยว่าไม่มีผลกับการใช้งานเราเลย เพียงแต่ปัญหานี้ดูจะเป็นผลกับใจเราซะมากกว่า เพราะเรือธงระดับนี้แล้วอะเนอะ น่าจะทำให้เนียน ๆ ไปเลย
กันน้ำมาตรฐาน IP68 เหมือนเดิม
ซึ่งจากการแถลงของ Samsung เองก็ให้เหตุผลว่าด้วยกระบวนการผลิตที่ใส่ความสามารถกันน้ำเข้ามา ตัวหน้าจอจึงอาจเจออาการย่นได้แต่ไม่กระทบกับการใช้งานแน่นอน ก็พอให้อภัยได้สำหรับเหตุผลล่ะเนาะ ซึ่ง Galaxy S23 Ultra ก็มาพร้อมความสามารถกันน้ำกันฝุ่น IP68 เหมือนเดิมคือลงน้ำได้ 1.5 เมตรนาน 30 นาทีครับผม
S Pen ใส่ในเครื่องได้เหมือนเดิม ดึงใช้งานสะดวก
Galaxy S23 Ultra ยังคงมาพร้อม S Pen ในตัวเหมือนเดิม เราสามารถกดเพื่อให้ปลายด้ามเด้งขึ้นมาเพื่อดึงออกมาได้อย่างสะดวกเหมือนเดิมครับ ซึ่งสีสันของ S Pen จะเป็นสีดำด้านทั้งหมดจะมีสีตรงปลายด้ามเท่านั้นที่เป็นสีสันของตัวเครื่องครับผม
ซึ่งตัว S Pen ในรอบนี้ก็ยังมีรูปร่างแบบเดียวกับของ S22 Ultra เลย หัวยังแหลมน่าใช้งาน พร้อมปุ่มกด 1 ปุ่มเหมือนเดิม ถ้าไม่นับตรงปลายด้ามที่มีความโค้งน้อยลงตามทรงของกรอบเครื่องแล้ว ก็แทบไม่มีจุดแตกต่างที่เราสังเกตได้เลยครับ
S Pen ไม่มีความสามารถใหม่ แต่ก็ยังเป็นปากกา Stylus ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ดี
สำหรับ S Pen ของ Galaxy S23 Ultra รอบนี้นอกจากดีไซน์จะเหมือนเดิมแล้วความสามารถก็ยังให้มาเท่ากับ S22 Ultra เดิมทั้งหมดด้วย เช่นเดียวกับหน้าจอแหละครับ ถึงจะไม่มีอะไรมาใหม่แต่ของเดิมก็คือที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรองรับแรงกด 4096 ระดับ ความหน่วงต่ำแค่ 2.8ms หรือความสามารถกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ไปด้วย
ฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่ผู้ใช้ S Pen เคยชินทั้ง Screen Off Memo ที่ติดมากับแอป Samsung Notes เฉพาะของ Samsung Galaxy เท่านั้น ช่วยให้เราได้จดโน้ต, บันทึกหรือวาดรูปแบบด่วน ๆ ได้เพียงแค่ดึง S Pen ออกมาเท่านั้น
หรือจะเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ในการจดโน้ตมาก ๆ อย่างการแปลงตัวอักษรจากลายมือที่ทำได้แม่นยำมาก แม้ลายมือเราจะไม่ได้บรรจงมาก หรือจดแบบเร็ว ๆ ก็ยังแปลงออกมาได้ตรงพร้อมให้ไปใช้งานต่อในแอปอื่น ๆ
ฟีเจอร์ S Pen Remote ที่ใช้สั่งการชัตเตอร์ถ่ายรูป เลื่อนรูปภาพ เปลี่ยนหน้าสไลด์นำเสนอ ก็มีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม ใครที่ติดมาตั้งแต่รุ่นก่อนเวลาจะเซลฟี่หรือตั้งกล้องถ่ายรูปก็ยังใช้งานได้ครบหมดเหมือนเดิมครับ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์และ S Pen ก็อย่างที่เราเห็นไปครับมีความเหมือนเดิมอยู่มาก แต่จุดที่เหมือนเดิมอยู่แล้วก็ยังคงดีมาก ๆ จนถึงตอนนี้แบบไม่ต้องสงสัย จุดที่ปรับเปลี่ยนบางอย่างก็มอบประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้นอย่างสัมผัสได้เลยอย่างเช่นเรื่องหน้าจอที่โค้งน้อยลง กรอบเครื่องที่จับถนัดมือขึ้น เรียกว่าเป็นดีไซน์ที่ไม่หวือหวามากนัก แต่ลงตัวในการใช้จริงก็ไม่ผิดนักครับ ข้อดีของแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เราไม่ต้องปรับตัวมากนักกับดีไซน์ล่ะมั้งครับ แต่ใครที่อยากได้ความสดใหม่ไปเลยอาจจะไม่ถูกใจตรงนี้ก็ได้นะ
3 จุดเด่นความ “พี๊คคค” ของ Galaxy S23 Ultra
หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะติดใจว่าในหัวข้อก็บอกไว้แล้วว่ารุ่นนี้อัปเกรดได้อย่าง “พี๊คคค” จริง ๆ แต่ในเรื่องดีไซน์ที่ผ่านมายังแอบเฉย ๆ อยู่เลยนี่นา ใช่แล้วครับความพี๊คคคของรุ่นนี้เริ่มจากตรงนี้ต่างหาก เพราะรอบนี้การอัปเกรดหลัก ๆ ไปอยู่ที่ภายในแทบทั้งหมด ถ้าแค่มองผ่านหรือดูจากภาพอาจจะไม่รู้สึกนัก แต่ถ้าได้ลองใช้งานจริงจะสัมผัสได้เลย รอบนี้อัปเกรดมา 3 อย่างหลักตามความ “พี๊คคค” ที่มี “ค” 3 ตัวเลยครับคือ คมชัด, ความลื่นไหล และควบคุม
คมชัดอย่าง “พี๊ค” ด้วยกล้องใหม่ 200MP
เริ่มต้นด้วยจุดขายหลักของรุ่นนี้อย่างเรื่องความคมชัด เพราะรอบนี้ Galaxy S23 Ultra อัปเกรดกล้องหลักในรอบ 3 ปีจากเดิม 108MP มาเป็น 200MP เสียที! ทำให้เพิ่มทั้งความคมชัดและการถ่ายภาพในหลาย ๆ สถานการณ์ได้ดีขึ้นไปอีกครับ แถมยังได้ AI ที่เก่งกาจกว่าเดิมมอบพลังการซูมที่เป็นไฮไลท์มาตั้งแต่หลายรุ่นก่อนให้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
ก่อนจะไปเจาะรายละเอียดของแต่ละกล้องกันเรามาสรุปสเปคกล้องของ Galaxy S23 Ultra กันก่อนดีกว่า รอบนี้ยังได้กล้องหลังมา 4 ตัวเหมือนเดิม มีสเปคดังนี้เลย
- 200MP กล้องหลัก f/1.7 OIS
- 12MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 10MP กล้อง Tele 3X f/2.4 OIS
- 10MP กล้อง Periscope 10X f/4.9 OIS
- รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K/30fps, 4K/60 – 30fps, Super slow motion FHD/960fps
อย่างที่เห็นเลยว่ากล้องหลักของ Galaxy S23 Ultra นั้นอัปเกรดขึ้นมาเป็น 200MP เพิ่มจากรุ่นก่อนที่ 108MP มาพอสมควรเลย และความครบเครื่องของระยะก็ยังเหมือนเดิมคือเราสามารถถ่ายได้ตั้งแต่ Ultra Wide 0.6X, Tele Optical Zoom 3X, Tele Optical Zoom 10X ไปจนถึง Tele Digital Zoom 100X เลยทีเดียวครับ
เก็บแสงได้มากขึ้นด้วยเทคนิค Binning แบบ 16-in-1
แต่ในการถ่ายภาพทั่วไปถ้าจะเก็บภาพมาเป็น 200MP ตลอดก็คงจะหนักพื้นที่เครื่องน่าดู ในโหมดปกติกล้องจึงเก็บภาพมาที่ 12MP เหมือนเดิม แต่ด้วยขนาดพิกเซลที่เพิ่มมากขึ้นจะใช้เทคนิค Binning ได้มากขึ้นเป็น 16-in-1 รวมแสงให้เราได้ภาพที่คมชัด เก็บรายละเอียดได้ดีทั้งกลางวันกลางคืน รวมถึงยังมี AI ที่คอยจัดการประมวลผลภาพได้เก่งยิ่งขึ้น ปรับภาพไปตามซีนได้รวดเร็วกว่าเดิมด้วย
คุณภาพของกล้องต้องบอกเลยว่าทำได้ยอดเยี่ยมอย่างเคย การปรับจูนสีออกมาสวยสดใสแบบที่ไม่เว่อจนเกินไป การจัดการ Dynamic Range ที่ยอดเยี่ยมด้วย Super HDR เก็บรายละเอียดของแสงได้อย่างครบถ้วน ขนาดเซ็นเซอร์ก็ใหญ่เพียงพอต่อการละลายฉากหลังได้เป็นธรรมชาติและยังได้ระยะโฟกัสที่ดีไม่ต้องถอยออกไปเยอะ และรอบนี้การประมวลผลต่อหลังถ่ายทำได้เร็วขึ้นมากด้วย เราแทบไม่เจอจังหวะหมุน ๆ หลังถ่ายเสร็จเลยล่ะครับ
มีโหมดความละเอียดสูงใช้ได้ทั้ง 200MP และ 50MP
อย่างที่บอกไปว่าเซ็นเซอร์กล้องหลักของ S23 Ultra นั้นให้มามากถึง 200MP ซึ่งในการถ่ายภาพทั่วไปจะได้ที่ 12MP เพื่อการใช้งานที่สะดวกและไฟล์ไม่ใหญ่มากนักอย่างที่บอกไป แต่แน่นอนว่าถ้าอยากได้ความละเอียดเต็ม 200MP ก็ยังสามารถเลือกใช้งานได้เช่นกัน แถมรอบนี้ด้วยความที่ขนาดพิกเซลเยอะมาก เราจะเลือกไปที่ 50MP แล้วใช้รูปแบบ Binning 4-in-1 ก็ได้ด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็บอกเลยว่าคมมาก จะครอปแบบ 100% – 200% ก็ยังสบาย ๆ ถ่ายภาพกว้างมาเลือกครอปใช้บางส่วน หรือแยกเป็น 2 ภาพก็ยังไหว
กล้อง Ultra Wide เก็บมุมกว้าง ถ่าย Macro ได้ด้วย
ต่อมาเป็นกล้อง Ultra Wide ที่ให้ความละเอียดมา 12MP เหมือนเดิมมุมกว้าง 120º เท่าเดิม แต่ด้วย AI ที่เก่งขึ้นทำให้คุณภาพโดยรวมของภาพนั้นสวยคมชัดขึ้นไปอีก ไฟล์ที่ได้ทำออกมาได้ดีเลยครับ สีสันใกล้เคียงกับกล้องหลักพอสมควร ให้ทั้งมุมกว้างที่เก็บรายละเอียดได้ดีสุด ๆ
และเหมือนเคยกล้อง Ultra Wide ยังมี Autofocus ให้เราใช้เป็นกล้อง Macro ที่โฟกัสภาพใกล้ ๆ ระดับ 2.5 ซม.ได้ด้วย ตรงนี้ Samsung จะใช้ชื่อเรียกว่า Focus Enhancer ซึ่งด้วยความที่เป็น Macro จากกล้องคุณภาพสูง ผลลัพธ์ที่ได้จึงสวยคมอยู่ไม่น้อยเลยล่ะครับ
ซูมโหดขึ้นอีก ระดับ 30X ไม่มัวแล้ว
มาต่อกันที่ 2 กล้องสุดท้ายอย่างกล้องซูม เมื่อปีที่แล้ว S22 Ultra สร้างชื่อไว้เยอะมากกับการซูมที่คมชัดและคล่องตัวตั้งแต่ระดับ 10X – 20X ได้แบบน่าประทับใจ รอบนี้ Galaxy S23 Ultra ก็ยังอัปเกรดขึ้นไปอีก แม้จะได้กล้องซูม Optical Zoom มา 2 ระยะ 3X และ 10X เหมือนเดิมก็ตาม แต่ความเก่งของ AI ที่บอกไปช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นชัดเจนครับ
ในระยะ 3X คงไม่ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วเพราะเป็นระยะมาตรฐานที่ใช้กันในเรือธงหลาย ๆ รุ่น ตรงนี้ S23 Ultra ทำได้ดีมากเพราะเพิ่มระยะให้เราเข้าใกล้ได้โดยไม่ต้องเดินเข้าไป ช่วยเพิ่มระยะให้เราเข้าใกล้ได้แบบมุมมองของภาพยังเที่ยงตรงไม่บวมหรือเบี้ยวจนเกินไป
ส่วนระยะไกลกว่านั้นตั้งแต่ 10X ขึ้นไป ตรงนี้จะสลับมาใช้กล้อง Periscope อีกตัวแทน ซึ่งช่วยให้เราได้ภาพที่คมชัดไปอีกแบบ ในระยะ 10X ถ้าโฟกัสเข้ากดยังไงก็ชัดครับ แถมรอบนี้ยังมีกล้องหลักตัวใหม่ 200MP ที่เข้ามาช่วยในการประมวลผลหลังจากระดับ 10X ขึ้นไปด้วย ทำให้ในระยะ 20X – 30X ก็ยังคงคมชัดอยู่มาก ต่างจากรุ่นก่อนที่ถ้าเลย 20X ไปก็อาจจะเบลอไปแล้ว
Portrait mode ตัดขอบอย่างเนียน คุณภาพเยี่ยม
ในโหมด Portrait ของ Galaxy S23 Ultra ยังคงใช้งานได้ 2 ระยะคือ 1X หรือ 3X ซึ่งจะสลับไปใช้ตามกล้องในระยะนั้น ๆ จริงจริงครับ พอมี 2 ระยะแบบนี้ก็เหมาะกับการถ่ายคนมาก ๆ อยากได้เต็มตัวก็กดที่ 1X หรืออยากได้ครึ่งตัวได้ระยะก็ใช้ 3X ไปเลย รอบนี้ยังคงตัดขอบเก็บมุมได้อย่างเนียน แถมเพิ่มเอฟเฟกต์ HDR ให้ฉากหลังเวลาย้อนแสงได้แบบครบถ้วน เอฟเฟกต์มีให้เลือกใช้และปรับทีหลังได้มากมาย
นอกจากภาพนิ่งแล้ว โหมด Portrait Video ก็มีมาให้ใช้งานด้วย ซึ่งความดีงานของโหมดนี้ก็คือเราสามารถปรับระดับความเบลอและเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ได้ขณะถ่ายเลยด้วย อยากเบลอมาก เบลอน้อย หรืออยากใส่เอฟเฟกต์ดูสีทำได้หมดขณะถ่ายเลย แถมความละเอียดในรอบนี้ก็เลือกได้ที่ 4K/30fps แล้ว คมชัดขึ้นไปอีกเยอะเลย
Nightography กลางคืนที่เก่งขึ้นทุกช่วง
มาถึงโหมดกลางคืนหรือ Nightrography กันบ้าง Galaxy S23 Ultra ยังคงเน้นจุดนี้เหมือนเดิม แต่ด้วยความที่ซูมก็เก่งขึ้นแล้ว รอบนี้เราเลยสามารถใช้งานโหมดกลางคืนได้คมชัดในทุกระยะเลย กลางคืนสวยยันซูม 10X เลยก็ว่าได้ แถมการประมวลผลยังเร็วและใช้งานได้แบบทันทีทันใดเลยด้วย
กล้องหน้า 12MP ลดความละเอียดลง แต่คุณภาพไม่ลดตาม
กล้องหน้าของ Galaxy S23 Ultra ถ้าดูจากสเปคแล้ว อาจจะดูลดคุณภาพน้อยลงกว่าเดิมเพราะจาก 40MP รอบนี้เหลือ 12MP แทน แต่แน่นอนว่าเปลี่ยนทั้งทีจะมา Downgrade ได้ไง การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ยังใช้งานได้ดีเหมือนเดิม ด้วยเซ็นเซอร์ตัวใหม่ที่มี Autofocus ให้ภาพคมชัดและแม่นยำ ส่วนคุณภาพที่เราลองใช้งานก็ยังคงยอดเยี่ยมและแอบดีกว่ารุ่นก่อนด้วยซ้ำไปครับ
วิดีโอกันสั่นยอดเยี่ยมขึ้นเป็น 2 เท่า สมูทสุด คมชัดเยี่ยม
ส่วนเรื่องวิดีโอ Galaxy S23 Ultra ก็จัดเต็มขึ้นด้วยการเพิ่มความนิ่งของกันสั่นได้มากขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้ในการใช้งานทั่วไปนั้นกันสั่นทำได้ดีขึ้นจริง ทั้งความเนียนเวลาเดินถ่ายหรือจะขยับเร็ว ๆ ตอนแพนกล้องก็ยังไม่เจออาการกระตุกเลย แต่ตรงนี้ต้องระบุไว้หน่อยว่าที่เราทดสอบนั้นเป็นเฟรมเรตแบบ 30fps เท่านั้น แต่ในเฟรมเรตที่ลื่นขึ้นแบบ 60fps กลับเจออาการกระตุกในกล้องหลัก (ตัวเดียว) ที่แค่แพนไป-มาหรือลงเท้าเวลาเดินก็เจอด้วย ตรงนี้คาดว่ายังเป็นบัคของซอฟต์แวร์อยู่ในขณะนี้ อนาคตคงมีการอัปเดตออกมาแก้เพิ่มเติมครับ
วิดีโอสูงสุด 8K/30fps ที่ใช้งานได้จริงแล้ว!
สำหรับโหมดวิดีโอ Galaxy S23 Ultra ก็อัปเกรดความละเอียดสูงสุดมาที่ 8K/30fps แล้วด้วย แถมระยะของภาพก็ไม่มีการครอปเข้าไปด้วย หมายความว่าเราเคยถ่าย 4K/30fps ในมุมมองไหนถ้าเปิด 8K ก็ได้ระยะเท่ากัน อีกทั้งเฟรมเรตก็มากขึ้นเป็น 30fps ทำให้เราสามารถถ่ายวิดีโอได้แบบลื่นไหลในความละเอียดสูงสุด
ส่วนโหมดวิดีโอกันสั่นเทพอย่าง Super Steady รอบนี้ก็เพิ่มตัวเลือกความละเอียดสูงสุดขึ้นเป็น QHD/60fps แล้วด้วย ช่วยให้เราได้คลิปแบบความละเอียดสูงขึ้นพร้อมเฟรมเรตที่ลื่นไหลในฉบับกันสั่นเทพแบบสุด ๆ แล้วล่ะครับ
นี่แหละคือความพี๊คแรกของ Galaxy S23 Ultra กับเรื่อง “คมชัด” ของกล้องที่ยกระดับขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดทั้งภาพนิ่งที่ถ่ายได้สูงสุดถึง 200MP กันแล้ว นอกจากนี้ทั้งมุมกว้างพิเศษหรือการซูมก็ยังทำได้ชัดมีมิติกว่าเดิมอีก และที่ขาดไม่ได้เลยคือวิดีโอที่เราสามารถถ่ายความละเอียดสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด เป็นที่น่าพอใจมากจริง ๆ ครับ
ความลื่นไหลที่ “พี๊ค” ขึ้นอย่างแท้จริง
มาต่อกันที่ความพี๊คที่ 2 กับเรื่องความลื่นไหล Galaxy S23 Ultra มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ที่มีความพิเศษกว่ารุ่นปกติด้วย CPU Octa-Core ความเร็วพิเศษ 3.36GHz (รุ่นปกติ 3.2GHz) แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะหน่วยความจำที่ให้มายังเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า ทั้ง RAM แบบ LPDDR5X และ Storage แบบ UFS 4.0 มอบความแรงในแบบที่สัมผัสได้อย่างแท้จริงเลยล่ะครับ
ในส่วนของความจุรอบนี้ให้ความจุรุ่นเริ่มต้นมาที่ 8GB + 256GB แล้ว และก็มีรุ่นความจุสูงขึ้นไปอีก 2 ระดับคือ 12GB + 512GB กับ 12GB + 1TB เนื่องจากตัวเครื่องไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอก (microSD) ได้แล้ว ก่อนจะซื้อก็เลือกความจุกันให้ดีล่ะครับ ส่วนเรื่อง RAM อาจจะไม่ต้องเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะแม้เริ่มต้นจะให้มา 8GB แต่ก็ยังมีฟีเจอร์ RAM Plus ที่จำลองได้มากถึง 8GB อีก ให้ความลื่นไหลที่เพียงพอมาก ๆ แล้ว
แต่…เท่านั้นยังไม่พอเพราะในส่วนของซอฟต์แวร์ Galaxy S23 Ultra ยังมาพร้อมกับ Android 13 ที่ครอบทับมาด้วย One UI 5.1 เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มอบความลื่นไหลขึ้นอย่างผิดหูผิดตาจากรุ่นก่อน ทุกอนิเมชั่นในการขยับ ทุกการตอบสนองบอกเลยว่าเป็นความลื่นไหลที่เรารอคอยจริง ๆ ในที่สุด One UI ก็ลื่นไหลขนาดนี้แล้ว!
เดี๋ยวจะไม่เชื่อว่าความแรงที่มากขึ้นนี่มันระดับไหน เราก็เลยทดสอบผ่ายแอป Benchmark 2 ตัวหลักให้เห็นคะแนนกันเลย ด้วยความเร็วของ CPU ที่มากขึ้น 34% และ GPU แรงขึ้น 41% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เราทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเยอะจริง ๆ ได้ไป 1231101 คะแนนกันเลย
ส่วนฝั่ง Geekbench เราใช้เวอร์ชั่น 6 ล่าสุดที่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทดสอบแล้วด้วย ก็ได้คะแนน Single-Core ออกมาสูงถึง 2066 คะแนน และ Multi-Core พุ่งไปที่ 5389 คะแนนเลยทีเดียวครับ
เล่นเกมเลยดีกว่า ลื่นทุกเกมเลยไหม!?
ที่ว่าแรง ๆ คะแนนสูง ๆ เราคงต้องมาทดสอบการเล่นเกมเพื่อลงสนามจริงสักหน่อย เพราะในการใช้งานทั่วไปด้วยสเปคนี้ก็ลื่นหัวแตกกันอยู่แล้ว เกมที่เราใช้ทดสอบ Galaxy S23 Ultra รอบนี้มี 3 เกมกราฟิกอลังการทั้งหมด ประกอบด้วย Asphalt 9, Call of Duty และ PUBG ครับ
เล่น Asphalt 9 บน Galaxy S23 Ultra
เริ่มที่ Asphalt 9 ก่อนเลย เกมแข่งรถที่ภาพสวยที่สุดตอนนี้ ในการตั้งค่าเราปรับได้ที่ระดับ High Quality หรือสูงสุดอยู่แล้ว และยังปรับเฟรมเรตไปที่ 60fps ได้ด้วย เรียกว่าเต็มรูปแบบที่เกมจะเลือกตั้งค่าได้แล้วก็ว่าได้ ตัวเกมทำได้อย่างลื่นไหลเอามาก ๆ เฟรมเรตลื่น ๆ แบบ 60fps ตลอด แถมภาพก็ยังสวยบนความละเอียด WQHD+ มาก ๆ ไม่เจออาการภาพแตกหรือหยาบ ๆ เลย ยิ่งแสดงผลบนหน้าจอขนาดใหญ่ 6.8″ แบบนี้ยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ครับ
เล่น Call of Duty บน Galaxy S23 Ultra
มาต่อกันที่เกมยิงสุดมันส์อย่าง Call of Duty ด้วยชิประดับท็อปสุดเราจึงเลือกปรับระดับกราฟิกได้ที่ Very High คู่กับเฟรมเรตแบบ Max เลยครับ ทุกเอฟเฟกต์เสริมก็เปิดได้หมดด้วย เท่าที่เล่นมาแบบจริงจัง S23 Ultra เล่นเกมแนวนี้ได้ดีมาก ๆ ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่สะใจและไม่ยาวจนเกินไป บวกกับสเปคที่แรงเหลือ ๆ เล่นได้อย่างลื่นไหลตลอดทั้งเกม ไม่เจออาการกระตุกให้เห็นเช่นกัน ลำโพงคู่ที่เสียงดีขึ้นก็ช่วยให้เราเล่นได้สะใจทั้งเสียงกระสุนหรือเสียงฝีเท้าของศัตรูก็ชัดเจนและแม่นยำ
เล่น PUBG บน Galaxy S23 Ultra
ปิดท้ายที่อีกเกมยิงอย่าง PUBG เราสามารถปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้ 2 แบบคือ Ultra HD + Ultra หรือ HDR + Extreme ในการทดสอบเราเลือกไปที่อย่างหลังเพื่อให้ได้เฟรมเรตลื่น ๆ หน่อยและภาพก็ยังสวยกำลังดี เท่าที่เล่นในโหมด Arena บอกเลยว่าทำได้ดีมาก ๆ ภาพสวย ความลื่นไหลถูกใจ และอย่างที่บอกไปว่าตัวหน้าจอที่มีขนาดใหญ่และตอบสนองได้ฉับไว เจอปุ๊บแตะยิงได้แบบทันที ก็ทำให้เราได้เปรียบและเล่นได้อย่างถูกใจไม่น้อยครับ!
และเรื่องความลื่นไหลก็เป็นอีกจุดที่พี๊คขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกันเพราะความเร็ว แรงที่เราได้รับจาก Galaxy S23 Ultra นั้นมอบประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างตั้งแต่ UI ที่เข้า-ออกแอปได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหลกว่าเดิม ความแรงระดับจักรวาลของ Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ก็ยังตอบสนองทุกการทำงานได้อย่างไร้ที่ติอีกต่างหากครับ
ควบคุมทุกอย่างได้อย่าง “พี๊ค” จริง
และในเรื่องพี๊คสุดท้ายของ Galaxy S23 Ultra ก็คือการควบคุมในที่นี้หมายถึงการจัดการพลังงานรวมถึงความร้อนด้วยครับ อย่างที่เห็นในเรื่องความแรงจากการทดสอบประสิทธิภาพไปแล้วทำคะแนนได้สูงสุด ๆ ในเรื่องการเล่นเกมก็ลื่นไหลเอามาก ๆ แต่ความร้อนและแบตเตอรี่กลับยังใช้งานได้อย่างดี ไม่ถึงกับร้อนจนถือใช้งานไม่ได้ และแบตเตอรี่ก็ไม่ได้ไหลซะด้วย!
ด้วยการเพิ่ม Vapor Chamber หรือระบบระบายความร้อนด้วยแผ่นทองแดงให้ใหญ่ขึ้นระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม ทำให้ตัวเครื่องนั้นไม่ได้ร้อนสะสมที่ฝาหลังตลอดเวลาเหมือนรุ่นก่อน แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ร้อนเลยก็คงจะโม้เกินจริง เรียกว่ากระจายความร้อนออกจากตัวเครื่องได้เร็วขึ้นถึงจะถูก ทำให้ถ้าเราเล่นเกมหรือใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ ก็จะรู้สึกที่ระดับอุ่น ๆ และหากพักเครื่องไว้สักครู่กลับมาเล่นต่อก็จะเย็นเร็วขึ้นนั่นเองครับ
และอีกเรื่องที่เราต้องชื่นชม Galaxy S23 Ultra มาก ๆ ก็คือเรื่องแบตเตอรี่ครับ เพราะรอบนี้จัดการแบตฯได้ดีมาก สมกับที่โฆษณาว่าใช้งานได้ตลอดทั้งวันเสียที (จริง ๆ โปรโมทแบบนี้หลายรุ่น) จะด้วยชิป Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ที่จัดการแบตฯได้ดี หรือซอฟต์แวร์ที่ฉลาดขึ้น ใด ๆ แล้วคือช่วยให้เราใช้งานได้อย่างสบายใจมาก แม้ในช่วงแรกที่ระบบกำลังเรียนรู้ก็ให้ความรู้สึกว่าอึดแล้ว เราสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันในการทำงานหนัก ๆ ทั้งเล่นเกม ถ่ายรูป โซเชี่ยลเป็นหลักประมาณนั้น นี่คืออีกเรื่องที่ Samsung ควบคุมมาได้อย่างดีจริง ๆ ครับ
ชาร์จไว 45W เหมือนเดิม เราว่าเร็วเพียงพอแล้ว
สำหรับระบบชาร์จ Galaxy S23 Ultra ให้ระบบชาร์จไว Super Fast Charging 2.0 ที่ความเร็ว 45W เท่าเดิม และอย่างที่บอกไปว่าอะแดปเตอร์ชาร์จก็ไม่มีให้เหมือนเดิม แต่จุดที่ดีมากคือระบบชาร์จไวของ Samsung นั้นใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์ที่รองรับ PD ได้ ใครที่มีอะแดปเตอร์ที่รองรับอยู่แล้วก็ใช้งานควบคุ่กันได้เลย หรือของรุ่นก่อนก็ใช้งานได้เช่นกัน ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ 45W ในความรู้สึกเราก็คิดว่าเพียงพอแล้วล่ะ ไม่ได้ช้ามากและก็เร็วกำลังดี ด้วยความที่แบตฯอึดขึ้น คงไม่ต้องคอยชาร์จบ่อย ๆ เหมือนรุ่นก่อนแล้วอะนะ
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 3 ความพี๊คคคที่เราได้รับจาก Galaxy S23 Ultra จริง ๆ ครับ อย่างที่บอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ต้องใช้งานจริงถึงจะรู้เท่านั้น และแน่นอนว่าเป็น 3 จุดที่แก้ Pain Point ของ Galaxy S22 Ultra เดิมได้อย่างหมดจด ทั้งเรื่องกล้องที่ดีขึ้นคมชัดขึ้น, ความลื่นไหลเร็วแรงที่ตอบสนองดีขึ้น หรือการควบคุมพลังงานและความร้อนที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เป็นความพี๊คคคที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทำให้เราหลงรัก S23 Ultra อย่างเต็มเปาจริง ๆ
ราคาเริ่มต้น 43,900 บาท มีให้เลือก 3 ความจุ
สรุปราคากันสักหน่อยครับ Galaxy S23 Ultra เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเรียบร้อย มีให้เลือก 3 รุ่นความจุมีราคาแต่ละรุ่นดังนี้
- รุ่น 8GB + 256GB ราคา 43,900 บาท
- รุ่น 12GB + 512GB ราคา 49,900 บาท
- รุ่น 12GB + 1TB ราคา 59,900 บาท
โดยจะมีให้เลือก 4 สีคือ สีเขียว, สีม่วง Lavender, สีครีม (สีที่รีวิว) และสีดำ Phantom Black ครับผม
สรุปแล้ว “นี่แหละคือการอัปเกรดที่สมกับความพี๊คคคอย่างแท้จริง”
สรุปแล้ว Galaxy S23 Ultra ก็ถือเป็นการอัปเกรดในปัญหาเดิมของรุ่นก่อนให้ “พี๊คคค” สมกับสโลแกนอย่างแท้จริง แม้ภายนอกจะไม่ต่างกันมาก แต่อย่างที่เราบอกว่าถ้าได้สัมผัสจริง ๆ จะรู้ว่าการอัปเกรดในครั้งนี้ช่วยมอบประสบการณ์ให้แตกต่างไปจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน กับ 3 ความพี๊คคคที่เราได้บอกคือ 1.ความคมชัดของกล้องที่ยกระดับมาถึง 200MP ถ่ายภาพนิ่งได้ชัดขึ้นทุกระยะ วิดีโอที่สูงขึ้นในทุกโหมดและวิดีโอ 8K แบบใช้งานจริงก็มาแล้ว 2.ความลื่นไหล ที่ได้ชิปที่แรงที่สุด Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy มี UI ที่ปรับจูนมาดีมาก สมูท ไม่ติดขัด 3.ควบคุมทุกอย่างได้อย่างหมดจด ทั้งความร้อนที่ระบายได้ดีไม่สะสมจนขัดใจเวลาใช้งานนาน ๆ แบตเตอรี่ที่อึดขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่รอดถ้าถ่ายรูปหนัก ๆ อีกต่อไป ซึ่งเราว่าแค่ 3 ความพี๊คคคนี้ก็เพียงพอต่อการเป็นเรือธงที่ครบเครื่องในตอนนี้แล้ว แต่นั่นคือเรื่องที่อัปเกรดมาจากรุ่นก่อนเท่านั้น เพราะถ้าไม่นับเรื่องใหม่ S23 Ultra ก็ยังมีทั้งหน้าจอระดับท็อปของวงการ, ปากกา S Pen ที่ช่วยในการทำงานอีกเยอะ หรือ Ecosystem ที่แข็งแกร่งอีกด้วยครับ แต่ถ้าถามเราว่าจุดที่ยังติดใจอยู่มีไหม ก็คงเป็นเรื่องรูปลักษณ์ที่อาจจะคล้ายเดิมไปหน่อย ถ้ามาจาก S22 Ultra ก็อาจจะไม่ได้ประทับใจในความสวยงามขึ้นเท่าไหร่แค่นั้นเองครับ
สรุปอีกทีก็คือในนาทีนี้ใครที่มองหาสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น กล้อง, สเปค, ความสามารถพิเศษอื่น เราว่าไม่มีรุ่นไหนเหมาะเท่า Galaxy S23 Ultra แล้วล่ะครับ!