Featured
รีวิว Samsung Galaxy S9 และ S9+ กล้องสลับรูรับแสงได้ และลำโพงสเตอริโอ
รีวิว Samsung Galaxy S9 และ S9+ สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่สำหรับสู้ศึกกับค่ายอื่นในต้นปี 2018 มาพร้อมชิปเซ็ต Exynos 9810 และชูจุดเด่นด้านกล้องถ่ายรูปสลับรูรับแสงได้ f/1.5 กับ f/2.4
รีวิว Samsung Galaxy S9 และ S9+ หลังจากได้ดูพรีวิวในวันเปิดตัวกันไปแล้ว ซึ่งนอกจากฟีเจอร์เรื่องรูรับแสงของกล้องหลังแล้ว ยังมีความสามารถในการบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 60fps และ Super Slow-mo 960fps พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวอัตโนมัติ
[table id=52 /]
ภายนอกของ Galaxy S9 และ S9+ อาจไม่แตกต่างไปจากจากรุ่นเดิมมากนัก เรียกได้ว่าดีไซน์ยังคล้าย S8 และ S8+ แต่จริงๆ ก็มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และครั้งแรกของ Samsung ที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟน Galaxy S Series ด้วย นั่นคือลำโพงสเตอริโอ tuned by AKG และรองรับเทคโนโลยีเสียง Dolby Atmos
ก่อนจะไปดู รีวิว Samsung Galaxy S9 และ S9+ มาดูว่าอุปกรณ์ที่มีให้ในกล่องมีอะไรบ้าง ได้แก่ ตัวเครื่องสมาร์ทโฟน, อะแดปเตอร์, สายเคเบิล, USB Connector, micro USB Connector, เข็มจิ้มถาดใส่ซิม, หูฟัง tuned by AKG พร้อมปลอกเจลหูฟัง, เคสใส และคู่มือใช้งาน
ดีไซน์ตัวเครื่องและหน้าจอแสดงผล
Galaxy S9 และ S9+ มีวัสดุหลักตัวเครื่องเป็นกระจกโค้งเว้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง Gorilla Glass 5 มีกรอบอะลูมิเนียมที่มีการขัดเงา รูปลักษณ์ยังคงความพรีเมียมและสวยงามไม่ต่างไปจาก S8 และ S8+ มากนัก โดยขนาดตัวเครื่องของ 2 รุ่นใหม่มีขนาดเล็กลงนิดหน่อยไม่กี่มิลลิเมตรและหนากว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
สำหรับ S9 มีหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว และ S9+ ขนาด 6.2 นิ้ว Super AMOLED สัดส่วนยาวด้วยการดีไซน์แบบ Infinity Display เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ด้านหน้าให้คุ้มค่าที่สุด มีพื้นที่แสดงผลให้มากที่สุด แต่ตัวเครื่องไม่ใหญ่ตาม และบริเวณขอบหน้าจอมีการใช้ฟิล์มที่ทำให้กระจกมีความดำเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด เซ็นเซอร์ต่างๆ บริเวณนี้ก็จะไม่เด่นชัดเหมือนกับรุ่น S8 ช่วยให้ดูสวยงามกลมกลืนกับสีตัวเครื่อง
แผงหน้าจอที่มีความโค้ง 2 ข้างแล้วเว้าเข้าหากรอยตัวเครื่องอย่างลงตัว โดยมีความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซลทั้ง 2 รุ่น ซึ่งมีการจัดเรียงพิกเซลแบบ Diamond Pentile ในสัดส่วน 18.5:9 และจุดเด่นของหน้าจอ Super AMOLED คือสีสันที่สดใสด้วยอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูง
ด้านหลังตัวเครื่องมีการย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปไว้ด้านล่างของเลนส์กล้อง ช่วยให้การแตะสแกนนิ้วมือพลาดโดนเลนส์กล้องน้อยลง และข้างๆ มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวกับไฟแฟลช LED โดยรุ่น S9 มีกล้องหลังเลนส์เดี่ยว ในขณะที่ S9+ เป็นเลนส์คู่แนวตั้ง กรอบเลนส์นูนขึ้นมาเหนือฝาหลังเล็กน้อย
ขอบด้านล่างตัวเครื่องมีช่องหูฟัง 3.5mm, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ไมโครโฟนหลัก และช่องลำโพง ซึ่งจะเห็นว่ามีเส้นเสาอากาศคาดอยู่ 2 เส้นบริเวณฝั่งซ้ายและขวา
ขอบด้านบนมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และช่องถาดใส่ซิมแบบไฮบริด เลือกใส่ microSD card แทนในช่องซิม 2 ได้
ขอบด้านขวามีปุ่ม Power และขอบด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียงกับปุ่มเรียกใช้งาน Bixby
ตัวเครื่อง S9 และ S9+ มีแบตเตอรี่อยู่ในภายขนาด 3000mAh และ 3500mAh ตามลำดับ พร้อมฟีเจอร์กันฝุ่นกันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP68 คือกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที
อินเตอร์เฟซและฟังก์ชั่นการใช้งาน
S9 และ S9+ รันระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo กับ Samsung Experience 9.0 เวอร์ชั่นล่าสุดในขณะนี้ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์อาจไม่เห็นความต่างจากในเวอร์ชั่น 8.1 บน Galaxy S8 และ 8.5 บน Galaxy Note8 แต่ก็มีการสลับเมนูการตั้งค่าบางอย่างถูกย้ายตำแหน่งที่อยู่ใหม่ ถ้าหาไม่เจอก็สามารถใช้เมนูค้นหาได้
ไอคอนแอพพลิเคชั่นระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ แอพข้อความ มีการเปลี่ยนสีใหม่ และแอพแกลเลอรี่ มีการเปลี่ยนเฉดการไล่ระดับสีใหม่ เป็นต้น โดยเมื่อแตะค้างที่ไอคอนแอพพลิเคชั่นจะมีเมนูลัดขึ้นมาให้เลือกใช้งาน รวมไปถึงเพิ่มเมนูเลือกรายการ ลบออกจากหน้าหลัก และปิดใช้งาน ที่ไอคอนคอนเมนูขนาดใหญ่กว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้า
หน้าจอหลักและหน้าจอ App Drawer รองรับการแสดงผลในแนวนอนแล้ว โดยค่าเริ่มต้นจะถูกปิดใช้งานเอาไว้ ให้เปิดใช้งานโดยเข้าที่เมนู Settings >> Display >> Home Screen >> แล้วปิดใช้งาน Portrait mode only เพื่อเป็นการเปิดใช้งานแนวนอน
ในส่วนของหน้าจอ Task switcher สำหรับดูรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดค้างเอาไว้เพื่อสลับหน้าจอใช้งาน สามารถดูได้ทั้งแบบพรีวิวเป็นหน้าจอแอพหรือจะเลือกดูแสดงเป็นแบบรายการ เพื่อให้เห็นรายการแอพทั้งหมดได้มากขึ้น
ฟีเจอร์ Always On Display มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้ามาให้สามารถเลือกรูปแบบนาฬิกาใหม่แล้วใช้งานได้ทั้งหน้าโฮมและหน้าจอล็อคสกรีน ซึ่งอยู่ในเมนูตั้งค่าเพิ่มเติมให้ไปที่ Settings >> Lockscreen and secutity >> Clock and Facewidgets
การแบ่งจอเพื่อเปิดใช้งานแอพพร้อมกัน 2 จอนั้นอาจไม่ได้แปลกใหม่สำหรับสมาร์ทโฟนของ Samsung เพราะมีมานานแล้ว แต่ฟีเจอร์ที่ทาง Google ได้เพิ่มมาตั้งแต่ Android Nougat ให้สามารถเปิดหน้าจอแบบ Pop-up ได้ จึงทำให้ S9 และ S9+ เปิดหน้าจอเด้งลอยอยู่เหนือการแบ่ง 2 จอได้
App Pair ฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ Galaxy Note8 ก็มีให้ใช้งานบน Galaxy S9 และ S9+ แล้ว โดยเป็นการจับคู่แอพที่ใช้งานบ่อยๆ เพื่อกดใช้งานแบ่งเป็น 2 หน้าจอได้ทันที ซึ่งสามารถนำไปไว้ที่ Edge Panel ได้
ฟีเจอร์ Edge lighting สามารถปรับตั้งค่าได้มากขึ้น โดยการเลือกรูปแบบเอฟเฟ็กต์ระยิบระยับให้กับแสงไฟได้ ได้แก่ เอฟเฟ็กต์สีของไฟ ความโปร่งใสของแสงไฟ และความกว้างของแสงไฟ
ด้านความปลอดภัยยังคงมีครบทั้งการสแกนลายนิ้วมือ ใบหน้า และม่านตา โดยมีการเพิ่มความปลอดภัยที่สูงขึ้นด้วย Intelligent Scan เป็นการใช้ทั้งการสแกนใบหน้าและม่านตาพร้อมกันในการยืนยันตัวตน
ฟีเจอร์ด้านเสียงที่เป็นลำโพงสเตอริโอ tuned by AKG ถือเป็นจุดขายสำคัญของ S9 และ S9+ ที่ทำให้เสียงที่ขับออกมามีมิติด้วยลำโพงจากซ้ายและขวา เมื่อใช้งานในแนวนอน และรองรับระบบเสียง Dolby Atmos รอบทิศทางหากคอนเทนท์นั้นมาพร้อมระบบเสียงนี้ ก็สามารถเล่นเสียงรอบทิศทางบนสมาร์ทโฟนนี้ได้ทันที
ระดับเสียงของลำโพง S9 และ S9+ เมื่อเทียบกับ S8 และ S8+ ถือว่าดังขึ้นกว่าเดิม มีความกระหึ่ม ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากเสียงที่ออกจาก 2 ลำโพง และเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับไฟล์เสียงคุณภาพสูง 32-bit/384kHz หากเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกันส่วนใหญ่จะรองรับ 32-bit/192kHz จึงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่คนชอบฟังเพลงต้องชื่นชอบกันอย่างแน่นอน
AR Emoji เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มีอยู่ใน S9 และ S9+ โดยเป็นการนำเทคโนโลยีเสมือนจริงมาเปลี่ยนภาพถ่ายเซลฟี่ใบหน้าของเราให้กลายเป็นอีโมจิที่เป็นเค้าโครงหน้าของเรา หรือจะเลือกตัวการ์ตูนที่มีให้ในเครื่องก็ได้เช่นกัน ซึ่งสามารถบันทึกท่าทางเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอก็ได้เช่นกัน เพื่อนำไปส่งหากันผ่านแอพแชทหรือโพสต์ลงโซเชียล (วิธีสร้าง AR Emoji)
ตัวอย่างสติกเกอร์ที่สร้างจากใบหน้าของเรา
Bixby ผู้ช่วยส่วนตัวที่แม้จะยังไม่รองรับคำสั่งเสียงภาษาไทยก็ตาม (รองรับภาษาอังกฤษ เกาหลี และจีน) แต่ในเวอร์ชั่นใหม่ Bixby Vision มีความสามารถในการแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ เพียงส่องกล้องไปที่ข้อความที่ต้องการแปลภาษา โดยใช้ความสามารถในการแปลจาก Google Translate และระบบการตรวจจับภาพที่มีข้อมูลมากขึ้น ทั้งอาหาร ไวน์ สถานที่
ประสิทธิภาพการทำงาน
Galaxy S9 และ S9+ ใช้ชิปประมวลผล Exynos 9810 เป็นชิปเซ็ตรุ่นที่ 2 ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการผลิตที่ 10nm FinFET ซีพียู Octa-core แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ระดับคือ Quad-core เพื่อประมวลผลที่ประหยัดพลังงาน และ Quad-core ที่ความเร็วสูงสุดเพื่อการประมวลผลที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ถัดจาก Exynos 8895 ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยมาพร้อมกราฟิก ARM Mali-G72 รองรับการเล่นวิดีโอ 10-bit HEVC และ VP9 พร้อมโมเด็ม Gigabit LTE ซึ่งข้อมูลตามสเปคของโมเด็มตัวนี้จะรองรับการรวมคลื่น Carrier Aggregation หรือ CA ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงสุดถึง 1.2 Gbps
ผลการทดสอบ AnTuTu v7.0.5 เป็นการทดสอบภาพรวมของการทำงานในส่วนของหน่วยความจำแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู S9 ทำคะแนนรวมได้ 245,186 คะแนน และ S9+ ทำได้ 227,108 คะแนน ระดับคะแนนถือว่าทำได้สูงมาก
ผลการทดสอบด้วย Geekbench 4 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผล การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยผลทดสอบของ S9 ทำคะแนน Single-Core ได้ 3,706 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 8,775 คะแนน ในขณะที่ S9+ ทำคะแนน Single-Core ได้ 2,786 คะแนน และ Multi-Core ทำได้ 8,567 คะแนน
กล้องถ่ายรูป
กล้องถ่ายรูปถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลย ที่มีค่ารูรับแสง f/1.5 และ f/2.4 อยู่ในเลนส์กล้องหลังของทั้ง Galaxy S9 และ S9+ ซึ่งเป็นการสลับรูรับแสงโดยใช้ฮาร์ดแวร์ สลับไปมาได้ระหว่าง 2 ค่านี้ในโหมด Pro แต่ถ้าเป็นโหมดอัตโนมัติจะถูกปรับค่ารูรับแสงให้อัตโนมัติตามสภาพแสงขณะทำการถ่ายรูป และมีระบบกันภาพสั่นไหว OIS
ตัวอย่างภาพถ่ายในโรงหนังที่มีแสงน้อยมาก มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่เปิดอยู่รอบโรงหนังเท่านั้น แต่กล้องของ Galaxy S9 ก็สามารถถ่ายออกมาได้สว่าง เห็นรายละเอียดครบถ้วน
f/1.5 เหมาะสำหรับการถ่ายภาพแสงน้อยหรือในที่มืด ในขณะที่ f/2.4 เหมาะสำหรับถ่ายภาพกลางแจ้งในสภาพแสงจ้า โดยเป็นการใช้ฮาร์ดในการตั้งค่ารูรับแสง สังเกตได้จากความกว้างของหน้าเลนส์ที่กว้างสุดเมื่อเลือก f/1.5 และจะแคบลงเมื่อเลือก f/2.4 ซึ่งหากเลือกโหมดอัตโนมัติระบบจะสลับรูรับแสงให้อัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง (คลิกภาพเพื่อดูขนาดใหญ่)
ระบบโฟกัสของ Galaxy S9 และ S9+ นั้นทำความเร็วได้มากขึ้นที่เรียกว่า Super Speed Dual Pixel ไม่เพียงแต่โฟกัสเร็วขึ้น แต่ยังช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดีมากขึ้นด้วย และรองรับความคมชัดสูงสุด 4K ที่ 60fps ที่มีการบีบอัดไฟล์วิดีโอแบบ HEVC ให้มีขนาดเล็กลงโดยไม่สูญเสียความละเอียด
Super Slow-mo เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่มาเพิ่มความสามารถให้กับการถ่ายวิดีโอด้วยเฟรมเรตที่สูงถึง 960fps ที่ความละเอียด HD 720p ซึ่งมาพร้อมกับระบบ Detect Motion สำหรับตรวจจับวัตถุที่กำลังเคลื่อนผ่านหน้ากล้องโดยการกำหนดกรอบบนหน้าจอเพื่อตั้งเป็นช่วงเวลาให้เคลื่อนไหวช้าได้ โดยเมื่อถ่ายวิดีโอออกมาแล้วระบบยังเลือกเพลงใส่ให้อัตโนมัติด้วย หรือถ้าไม่ชอบก็เลือกใส่เองได้เช่นกัน
นอกจากนี้แล้ว เมื่อบันทึกวิดีโอ Super Slow-mo เรียบร้อยแล้ว ในหน้าจอดูคลิปวิดีโอให้ปัดหน้าจอขึ้น จะมีลูกเล่นวิดีโอให้เลือกใช้งาน 3 แบบ ได้แก่ วนรอบ กลับด้าน (ย้อนกลับ) และสวิง
ตัวอย่างวิดีโอ Super Slow-mo ที่ 960fps
ตัวอย่างภาพถ่าย Food Mode
เป็นโหมดสำหรับการถ่ายอาหารโดยเฉพาะ ซึ่งโหมดนี้สามารถเลือกจุดโฟกัสที่ต้องการเน้นความชัด โดยจะมีลักษณะเป็นวงกลม เหมาะกับการถ่ายหารบนจานนั่นเอง และสามารถขยายขนาดของจุดโฟกัสได้ ซึ่งวัตถุที่อยู่ในจุดโฟกัสก็จะชัด ส่วนรอบจุดโฟกัสก็จะเบลอ
จุดแตกต่างของฟีเจอร์กล้องถ่ายรูประหว่าง 2 รุ่นนี้คือ Live Focus ที่มีเฉพาะในรุ่น Galaxy S9+ สำหรับถ่ายหน้าชัดหลังละลาย และ Dual Shot สำหรับถ่ายภาพมุมแคบกับมุมกว้างในช็อตเดียวกัน ในขณะที่ Galaxy S9 ไม่มีฟีเจอร์นี้เนื่องจากมีเลนส์กล้องหลังเพียงตัวเดียว แต่สามารถใช้ฟีเจอร์ Selective Focus ในการเลือกจุดหน้าชัดหลังเบลอหรือหน้าเบลอหลังชัดได้
Live Focus ของ Galaxy S9+ ไม่ได้ถ่ายหน้าชัดหลังละลายได้เพียงอย่างเดียว แต่มีการเพิ่มฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์ในการทำเอฟเฟ็กต์ไฟโบเก้ด้านหลังเป็นรูปอื่นๆ ได้ เช่น หัวใจ ดวงดาว และอีกมากมาย
สำหรับกล้องหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก S8 เป็นเซ็นเซอร์กล้องขนาดความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 ระบบออโต้โฟกัส และออโต้ HDR พร้อมโหมดหน้าสวยที่เลือกฟิลเตอร์ได้ง่ายๆ เช่น สวยเป็นธรรมชาติ สง่างาม ทันสมัย น่ารัก สดใส เป็นต้น
สรุปจุดเด่น รีวิว Samsung Galaxy S9 และ S9+
- หน้าจอสวยงาม Super AMOLED และการออกแบบที่สวยงาม พรีเมียม ประกอบที่แน่นหนา
- ระบบเสียงตัวเครื่องที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยลำโพงสเตอริโอและรองรับเทคโนโลยี Dolby Atmos
- กล้องถ่ายรูปมีการพัฒนาไปอีกขั้น รูรับแสงสลับได้ในเลนส์เดียว รองรับการบันทึกวิดีโอ 4K@60fps และ Super Slow-mo 960fps ที่มีระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวอัตโนมัติ
- ลูกเล่นใหม่ AR Emoji
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- ดีไซน์ยังคงคล้ายรุ่นเดิมเมื่อเทียบกับ Galaxy S8
- Galaxy S9 มีกล้องหลังเลนส์เดียว และ S9+ มีเลนส์กล้องหลังคู่