Smart Review
รีวิว Samsung Galaxy Watch6 สุขภาพดีแบบสมาร์ทไปด้วยกันในทุกวัน!
รีวิว Galaxy Watch6 สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดจาก Samsung ที่จะมาช่วยให้เราสุขภาพดีและเติมเต็มไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในทุกวัน รอบนี้อัปเกรดดีไซน์ใหม่ด้วยหน้าจอที่เต็มตามากขึ้น, แข็งแกร่งมากขึ้นแต่ตัวเรือนบางลง, ปรับเปลี่ยนสไตล์ประจำวันได้ง่ายกว่าเดิม, ชิปประมวลผลใหม่เร็วขึ้นอีก 18% และที่ขาดไม่ได้ฟีเจอร์เรื่องสุขภาพสุดสมาร์ทที่มีมาให้แบบครบถ้วนเหมือนเดิม
หลังจากที่เราลองใส่ใช้งานมากกว่า 1 สัปดาห์วันนี้ก็ขอมารีวิว Galaxy Watch6 แบบเต็ม ๆ ให้ทราบถึงประสบการณ์การใช้งานกันหน่อย เผื่อใครที่กำลังตัดสินใจอยู่เนาะ พร้อมแล้วติดตามครับ!
สเปค Galaxy Watch6 (44mm)
- ขนาดตัวเรือน : 42.8 x 44.4 x 9.0 มม.
- น้ำหนัก : 33.3 กรัม
- หน้าจอ : Super AMOLED ขนาด 1.5″
- ความละเอียด 480 x 480 พิกเซล
- กระจกกันรอย : Sapphire Crystal
- ชิปเซ็ต : Exynos W930 Dual-Core 1.4GHz
- RAM : 2GB
- Storage : 16GB
- แบตเตอรี่ : 425mAh
- ระบบชาร์จ : รองรับชาร์จไว (ด้วยแท่นชาร์จไร้สายพอร์ต USB-C)
- เซ็นเซอร์ : Samsung BioActive Sensor (Optical Heart Rate + Electrical Heart Signal + Bioelectrical Impedance Analysis), Temperature Sensor, Accelerometer, Barometer, Gyro Sensor, Geomagnetic Sensor, Light Sensor
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.3, Wi-Fi 2.4+5GHz, NFC, GPS/Glonass/Beidou/Galileo
- มารตรฐานความทนทาน : 5ATM + IP68 / MIL-STD-810H
- ระบบปฏิบัติการ : Wear OS Powered by Samsung (Wear OS 4)
ดีไซน์ที่เรียบง่ายเหมือนเดิม แต่จอใหญ่ขึ้นอีก 20%
มาชมดีไซน์ของ Galaxy Watch6 กันเลยครับ มองเผิน ๆ รุ่นนี้ก็แทบจะคล้ายกับ Galaxy Watch5 ที่เราเคยรีวิวไปเลย ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายหน้าปัดวงกลมแบบ Flat พร้อมตัวเรือนแบบ Matellic ดูหรูหรา แต่ถ้าเราดูการแสดงผลที่หน้าจอดี ๆ จะเห็นว่าขนาดหน้าจอของรุ่นนี้เต็มตามากขึ้น
ใช่แล้วครับรอบนี้ Galaxy Watch6 ขยายขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น 1.5″ (จากเดิม 1.4″) หรือคิดเป็น 20% เลยทีเดียว ซึ่งการขยายหน้าจอในครั้งนี้เป็นการลดขอบสีดำลงถึง 30% จึงทำให้ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นในขณะที่ตัวเรือนไม่ได้ใหญ่ขึ้นอีกด้วยครับ
ตัวเรือนที่บางลง ชวนสวมใส่มากขึ้น
ไม่ใช่แค่จอใหญ่ขึ้นอย่างเดียว ตัวเรือนของ Galaxy Watch6 ก็มีความบางลงจากรุ่นก่อนเหลือเพียง 9 มม. (จากเดิม 9.8 มม.)เพื่อทำให้ง่ายขึ้นต่อการสวมใส่ รวมถึงน้ำหนักที่เบาลงด้วย อย่างรุ่นที่เราได้มารีวิวเป็นขนาด 44 มม.ก็เบา 33.3 กรัม (รุ่นก่อน 33.5 กรัม) สวมใส่ได้สบายมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
และความแข็งแกร่งก็ไม่ธรรมดาเพราะใช้วัสดุเป็น Armor Aluminium แบบเดียวกับสมาร์ทโฟนรุ่นท็อป ๆ เลยด้วย ที่ตัวเรือนจะมีปุ่มกด 2 ปุ่มเหมือนเคยปุ่มบนเป็นปุ่มโฮมให้เรากดย้อนกลับไปหน้าแรกได้ส่วนปุ่มล่างจะเป็นปุ่มฟงัก์ชั่นที่ให้เราเลือกตั้งค่าได้ว่าจะใช้งานเป็นปุ่มย้อนกลับหรือปุ่ม Recent Apps ก็ได้ครับ ส่วนตรงกลางระหว่าง 2 ปุ่มนี้ก็จะเป็นไมโครโฟนสำหรับสนทนานั่นเองครับ
หน้าจอ Super AMOLED สว่างชัดทุกสภาพแสง
ขอวนมาพูดเรื่องหน้าจออีกสักนิด Galaxy Watch6 ใช้หน้าจอ Super AMOLED คุณภาพสูง ความละเอียด 450×450 พิกเซล สวยคมชัดอ่านรายละเอียดบนหน้าจอได้ครบถ้วน อีกทั้งความสว่างสูงสุดที่มากถึง 2000nits มากถึงรุ่นก่อนถึง 2 เท่า ทำให้เราใช้งานกลางแจ้งได้ง่ายขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ตัวขอบจอนั้นยังรองรับฟีเจอร์ Touch Bezel ที่ให้เราเลื่อนรอบ ๆ หน้าจอ (ตรงขอบสีดำ) เหมือนวงแหวนรอบกรอบหน้าปัดได้อีกด้วย เพิ่มตัวเลือกในการหมุนหรือเลือกโหมดไปอีกแบบครับ
มีเซ็นเซอร์อยู่ครบที่ด้านหลัง
และที่ด้านหลังของเรือนจะมีเซ็นเซอร์ในการใช้งานครบทั้ง เซ็นเซอร์ Bioelectrical Impedance Analysis (BIA), เซ็นเซอร์ Heart Rate Monitor หรือเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิอินฟราเรด จัดมาแน่น ๆ แบบนี้ความสามารถไม่ต้องห่วงเลยล่ะครับ
เปลี่ยนสายนาฬิกาข้อมือได้ง่าย ๆ ในคลิกเดียว
ส่วนสายรอบนี้ก็ปรับรูปแบบใหม่เพิ่มปุ่มกดในการถอดสายเข้ามาเพื่อให้ง่ายต่อการถอดเปลี่ยนยิ่งขึ้น จากเดิมที่เป็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่เราต้องง้างแล้วดึงออก รอบนี้ก็เป็นปุ่มที่ใหญ่พอตัว กดและดึงออกได้ทันที หรือตอนจะใส่กลับก็กดปุ่มและดันกลับเข้าไปเท่านี้เป็นอันเรียบร้อย
ส่วนตัวสายก็มีให้เลือกหลายแบบอย่างรุ่นที่เราได้มารีวิวเป็นสายหนังสีดำที่มากับตัวเรือนสี Graphite ได้ความเท่อย่างลงตัว ผิวสัมผัสที่ด้านนอกจะเป็นหนัง Eco-Leather ให้ความเรียบหรู ในขณะที่ด้านในที่สัมผัสกับข้อมือของเราจะเป็นซิลิโคนที่มีความนุ่มและไม่ระคายเคือง ทำให้เวลาสวมใส่ก็ได้ทั้งสัมผัสที่นุ่มนวลไม่มีผลกับเหงื่อ แต่ก็ยังได้รูปลักษณ์ที่หรูหราทางการแบบหนัง Eco-Leather อีกด้วย อันนี้เราว่าออกแบบมาได้ดีมากเลย
หมดห่วงเรื่องรอยขีดข่วนด้วยกระจก Sapphire Crystal
ในเรื่องความทนทาน Galaxy Watch6 ยังคงใช้กระจกหน้าจอสุดแกร่งอย่าง Sapphire Crystal ที่ทาทานสุด ๆ พร้อมให้เราใช้งานอย่างสมบุกสมบันได้แบบไม่ต้องกังวลว่าหน้าจอจะเป็นรอยได้ง่าย ๆ ตรงนี้เราลองทดสอบแบบไม่ตั้งใจโดยการฟาดเข้ากับขอบโต๊ะอย่างจังมาแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นเลยครับหน้าจอไม่มีแม้แต่รอยขนแมวให้กวนใจเลย
กันน้ำได้ทุกโหมดเพราะมีทั้ง IP68 และ 5ATM
ส่วนเรื่องกันน้ำก็หายห่วงเช่นกันเพราะ Galaxy Watch6 นั้นได้มาตรฐาน IP68 และ 5ATM ช่วยให้ตัววอทช์ทรหดพอเพื่อเป็นคู่หูอยู่ในทุกการผจญภัย จะลุยฝนหนัก ๆ ที่อยู่ ๆ ก็ตกในช่วงนี้ หรือจะออกกำลังกายทางน้ำด้วยเลยก็เอาอยู่ครับมาตรฐานระดับนี้แล้ว
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Galaxy Watch6 แม้ภายนอกจะคล้ายเดิมมาก แต่อย่างที่บอกว่าการอัปเกรดหลัก ๆ คือหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นถึง 20% บวกกว่าน้ำหนักและความบางที่ลดลงอีก ก็ช่วยให้ตอนเราใส่ใช้งานจริงนั้นยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ดูลงตัวกับการใช้งานมากกว่าเดิม และในเรื่องดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่ายจากรุ่นก่อนก็ยังคงเป็นจุดเด่นที่ให้เราแมทช์ได้กับทุกลุคอยู่แล้วด้วย การอัปเกรดแค่จุดที่ควรก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เพียงพอแล้วล่ะครับ
เชื่อมต่อผ่านแอป Galaxy Wearable
ในเรื่องการเชื่อมต่อ Galaxy Watch6 ก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอป Galaxy Wearable ได้เลย (มีติดอยู่บนสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy อยู่แล้ว) จับคู่ไม่ยุ่งยากก็ตามขั้นตอนปกติครับ ในตัวแอปก็จะมีพวกสถานะของตัววอทช์รวมถึงการตั้งค่าต่าง ๆ อยู่ในนี้ด้วย
หรือจะเป็นการปรับแต่งเพิ่มเติมอย่างพวก Watch Faces, การแจ้งเตือน, หรือการตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติมก็สามารถเข้ามาปรับได้จากในแอปทั้งหมด
ใช้ระบบ WearOS และ One UI 5.0 Watch
ส่วนระบบปฏิบัติการของ Galaxy Watch6 ก็ใช้เป็น Wear OS Powered by Samsung ที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Google กับ Samsung โดยมีการครอบหน้าตา One UI 5.0 Watch เข้าไปอีกที พวกไอคอนแอปต่าง ๆ ก็มีความเรียบง่ายคล้ายบนสมาร์ทโฟน Galaxy นั่นแหละครับ การควบคุมต่าง ๆ เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว เราก็สามารถทำได้ผ่านวอทช์โดยไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟนได้เลยด้วย
เราสามารถเลื่อนซ้ายไปเพื่อดูหน้า Tiles ต่าง ๆ อาทิ หน้า Daily Activity, หน้าการออกกำลังกาย, ข้อมูลสุขภาพ, การนอน, สภาพอากาศ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเข้าไปเพิ่มหรือเอาส่วนที่ไม่ใช้ออกได้จากการตั้งค่าโดยการแตะค้างหรือจะไปจัดการผ่านแอป Galaxy Wearable ก็ได้เช่นกัน
ลากจากบนลงล่างจะเป็นหน้า Quick Panel หรือ Toggle ที่จะมีให้เราเลือกเปิด-ปิด AOD, ระบบเสียง, WiFi คล้ายกับที่เราใช้กันบนสมาร์ทโฟนนั่นเองครับ
เลื่อนไปทางขวาจากหน้าหลักก็จะเป็นหน้าการแจ้งเตือนซึ่งแน่นอนว่าตัว Watch6 นี้รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบอยู่แล้วไม่มีปัญหา อ่านได้ตอบได้จากข้อมือเราเลยล่ะครับ
หรือจะเป็นการเลื่อนจากล่างขึ้นบนตรงนี้จะเป็นหน้ารวมแอปทั้งหมดครับ แน่นอนว่าด้วยความเป็นระบบ WearOS ก็จะได้เปรียบในเรื่องการดาวน์โหลดแอปต่าง ๆ เพิ่มเติมจาก Play Store ด้วย
ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นถึง 18%
สำหรับสเปคภายในของ Galaxy Watch6 นั้นมีการอัปเกรดชิปเซ็ตเป็น Exynos W930 แบบ Dual-Core ความเร็ว 1.4GHz ซึ่งหากเทียบกับ Exynos W920 เดิมบน Watch5 ก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าถึง 18% เลยทีเดียว เท่าที่เราลองใช้งานดูก็พบว่าทำงานได้ลื่นไหล ไม่มีอาการสะดุดให้เห็นเลยครับ
ฟีเจอร์สุขภาพครบครัน
มาต่อในเรื่องฟีเจอร์สุขภาพต่าง ๆ ของ Galaxy Watch6 กันบ้าง จากที่เห็นว่ารุ่นนี้มีเซ็นเซอร์มาให้แบบเพียบ ๆ เพราะฉะนั้นการตรวจจับข้อมูลต่าง ๆ นั้นก็ทำได้ครบถ้วนไม่มีขาดเช่นกัน ทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยเซ็นเซอร์ PPG ในตัวจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นระยะ ๆ ขณะที่เราสวมใส่ Galaxy Watch6 อยู่ และจะแจ้งเตือนคุณหากอัตราการเต้นของหัวใจนั้นสูงหรือต่ำเกินไป หรือจะใช้เซ็นเซอร์ ECG เพื่อทำการวัดที่ละเอียดกว่าเดิมก็ได้
ตรวจจับการนอนได้อย่างละเอียด
หรือจะเป็นการตรวจจับการนอนหลับ Galaxy Watch6 ก็สามารถติดตามขั้นตอนการนอนหลับ และคำนวณออกมาเป็นคะแนนเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ว่าความสม่ำเสมอของการนอนหลับในช่วงค่ำคืนได้เพื่อพัฒนาการนอนหลับโดยรวมของเรา ซึ่งเราสามารถเช็กข้อมูลได้ผ่านข้อมือโดยที่ไม่ต้องพึ่งสมาร์ทโฟนเลยด้วยครับ
รู้จักร่างกายของเราได้จากภายในสู่ภายนอกได้ด้วย BIA
แต่ทีเด็ดสุด ๆ คงหนีไม่พ้นการตรวจวัดเก็บข้อมูลร่างกาย Body Composition อย่างละเอียดด้วยเซ็นเซอร์ Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) ใน Galaxy Watch6 ช่วยให้เราเข้าใจร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เพราะบอกข้อมูลร่างกายของเราได้ทั้ง มวลกล้ามเนื้อโครงร่าง, มวลไขมัน, ไขมันในร่างกาย, ดัชนีมวลกายหรือว่า BMI เรียกว่าครบอย่างกับไปตรวจสุขภาพกันเลยทีเดียวครับ!
ติดตามการออกกำลังกายได้มากถึง 90 โหมด
หรือจะเป็นสายออกกำลังกาย Galaxy Watch6 ก็สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเราในการออกกำลังกายได้กว่า 90 แบบ ซึ่งรวมไปถึงการว่ายน้ำในร่มหรือเล่นโยคะ หรือจะสร้างการออกกำลังกายแบบกำหนดเองก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมาคอยกดปุ่มเริ่มต้นให้วอทช์ตรวจจับเลย เพราะ Watch6 จะรับรู้และบันทึกการออกกำลังกายที่เลือกอย่างการวิ่ง การเดิน และแม้แต่การปั่นจักรยานให้โดยอัตโนมัติครับ
ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่วางใจได้
ส่วนเรื่องฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย Galaxy Watch6 ก็รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่เสมอ หากเราสะดุดล้ม การตรวจจับการล้มจะตรวจพบได้และถามว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ สำหรับกรณีฉุกเฉินอื่น ๆ เพียงแค่กดปุ่มโฮม 5 ครั้งเพื่อส่ง SOS ไปยังหน่วยบริการฉุกเฉินต่าง ๆ แค่นี้ก็อุ่นใจได้เพราะเราจะได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วล่ะครับ
ฟีเจอร์ไลฟ์สไตล์เพิ่มความสะดวกในการใช้งานเมื่อเชื่อมกับสมาร์ทโฟน
เป็นสมาร์ทวอทช์ทั้งทีนอกจากฟีเจอร์สุขภาพและการออกกำลังกายแล้ว ฟีเจอร์ไลฟ์สไตล์ทั่วไปก็ต้องมีครบถูกไหมล่ะครับ อย่างการรับแจ้งเตือนก็ทำได้ดีอย่างที่บอกไปภาษาไทยครบ ตอบกลับข้อความได้จากข้อมือ, การแจ้งเตือนสายเข้าก็ทำได้แถมเรายังสามารถคุยโทรศัพท์ผ่านข้อมือได้โดยตรง, หรือจะใช้เป็นเครื่องควบคุมเครื่องเล่นเพลง สตรีมเพลงโดยตรงจากตัว Watch6 เลยก็ได้อีก
ใช้งานเป็นรีโมทถ่ายรูปก็ได้ด้วยนะ
สำหรับสายเซลฟี่หรือถ่ายรูป ตัว Watch6 ก็มีฟีเจอร์รีโมทชัตเตอร์ที่เพียงเราจับคู่วอทช์เข้ากับสมาร์ทโฟน Galaxy Z Flip5 เราก็สามารถถ่ายภาพจากระยะไกลได้ง่าย ๆ แถมการควบคุมนี้ยังทำได้ทั้งโหมดภาพนิ่งและวิดีโอ ซูมเข้า-ออกผ่าน Touch Bezel และด้วยความที่หน้าจอของ Watch6 รอบนี้ใหญ่ขึ้นเราก็จะได้เห็นภาพตัวอย่างชัดขึ้นอีกจากข้อมือเลยด้วยไงครับ
แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 40 ชม.
ปิดท้ายที่เรื่องแบตเตอรี่ Samsung เคลมว่า Galaxy Watch6 นั้นสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 40 ชม.หรือก็ประมาณเกือบ 2 วันต่อการชาร์จ เท่าที่เราลองใช้งานก็อยู่ในเกณฑ์นั้นจริงครับ ใช้งานหนึ่งวันจะเหลือราว ๆ 50 – 60% ปิดเครื่องและใช้งานต่อในวันถัดไปก็จะได้ประมาณ 2 วันพอดี แต่หากมีการใส่ติดตามการนอนไปด้วยก็คงต้องคอยชาร์จกันทุกวันแทนล่ะครับ
แต่ยังโชคดีที่ Galaxy Watch6 นั้นมีระบบชาร์จไวที่สามารถชาร์จแบตฯ 45% ได้ในเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น ตื่นเช้ามาก็ชาร์จทิ้งไว้ระหว่างเตรียมตัวก็ได้แบตเตอรี่กลับมาพอสมควรแล้วครับ หรือถ้าฉุกเฉินจริง ๆ Watch6 ก็ยังรองรับชาร์จไร้สาย Qi มาตรฐานด้วย วางชาร์จกับฝาหลังสมาร์ทโฟนที่ฟีเจอร์ Wireless Power Share ก็ได้เหมือนกันครับ
ราคา Galaxy Watch6
สำหรับ Galaxy Watch6 Series จะเปิดตัวมาด้วยกัน 4 รุ่น โดยจะแบ่งเป็นรุ่น Galaxy Watch6 และ Galaxy Watch6 Classic มีราคาและรุ่นย่อยดังนี้
Galaxy Watch6
- หน้าปัด 40 มม. มีให้เลือกสีกราไฟท์และสีทอง
- Bluetooth : ราคา 9,900 บาท
- หน้าปัด 44 มม. มีให้เลือกสีกราไฟท์และสีเงิน
- Bluetooth : ราคา 11,900 บาท
Galaxy Watch6 Classic
- หน้าปัด 43 มม. มีให้เลือกสีดำและสีเงิน
- Bluetooth : ราคา 13,900 บาท
- LTE : ราคา 15,900 บาท (มีเฉพาะสีดำ)
- หน้าปัด 47 มม. มีให้เลือกสีดำและสีเงิน
- Bluetooth : ราคา 14,900 บาท
- LTE : ราคา 16,900 บาท (มีเฉพาะสีดำ)
สรุปแล้ว “นี่คือ Galaxy Watch6 รุ่นอัปเกรดที่ปรับให้น่าใช้ยิ่งขึ้นในทุก ๆ ด้าน”
สรุปแล้ว Galaxy Watch6 ก็ถือเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ Samsung Galaxy Ecosystem อยู่แล้ว แม้ภายนอกรอบนี้จะไม่ได้ปรับเยอะแบบครั้งใหญ่ แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับในจุดที่ใช้งานได้จริง มอบประสบการณ์ที่ดีงามยิ่งขึ้นในการใช้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแต่ตัวเครื่องบางลง, หน้าจอสว่างเพิ่มเป็น 2 เท่า, ดีไซน์สายใหม่ให้เราถอดเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น เป็นต้น ส่วนจุดที่เคยทำได้ดีมากอยู่แล้วทั้งฟีเจอร์สุขภาพ, ฟีเจอร์การออกกำลังกาย หรือความทนทานด้วยกระจก Sapphire Crystal มาตรฐานกันน้ำ 5ATM ก็ยังมีอยู่ครบ และที่สำคัญจุดเด่นของระบบ WearOS ที่ Samsung เลือกใช้ก็ยังได้เปรียบในเรื่องการโหลดแอปเพิ่มเติมอีกด้วยเนาะ ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทวอทช์เรือนแรกมาใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy ของตัวเองอยู่ Galaxy Watch6 รุ่นนี้ก็น่าพิจารณาไม่น้อยเลยล่ะครับ!