ข่าวประชาสัมพันธ์
China Mobile ลงนามสัญญาถือหุ้นกลุ่ม True คิดเป็น 18% อย่างเป็นทางการ
กลุ่มทรูและไชน่าโมบายล์ ลงนามสัญญา ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ
- ข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงินของกลุ่มทรู และเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจ
- การเข้าถือหุ้นของไชน่าโมบายล์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการขยายกิจการก้าวสู่ระดับโลก
กรุงเทพฯ 11 กันยายน 2557 – กลุ่มทรู ผู้ให้บริการสื่อสารครบวงจรหนึ่งเดียวของประเทศไทย และเป็นผู้นำธุรกิจคอนเวอร์เจนซ์ ได้ลงนามสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ กับไชน่าโมบายล์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญของการปรับฐานการเงินกลุ่มทรูให้แข็งแกร่ง รวมทั้งเสริมศักยภาพการขยายธุรกิจ ขณะที่ การเข้ามาถือหุ้นในกลุ่มทรูของไชน่าโมบายล์ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดทั่วโลก
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรูขอขอบคุณไชน่าโมบายล์ที่ให้ความมั่นใจร่วมลงทุนในกลุ่มทรู และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับไชน่าโมบายล์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในแผนการเพิ่มทุนครั้งสำคัญของกลุ่มทรู ซึ่งจะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงศักยภาพการเติบโตของกลุ่มทรูในธุรกิจโทรคมนาคม ตลอดจนความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวอีกด้วย”
มร.หลี่ เยว่ กรรมการบริหารและหัวหน้าคณะผู้บริหาร บริษัท ไชน่า โมบายล์ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่กลุ่มทรูเป็นผู้นำด้านบรอดแบนด์ เคเบิ้ลทีวี และยังเป็นผู้นำธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งในระบบ 3G และ 4G ในประเทศไทย ทรูจึงเป็นพันธมิตรในอุดมคติของไชน่าโมบายล์และในฐานะที่ไชน่าโมบายล์ และทรู เป็นผู้นำตลาดของประเทศ จึงมีความเพียบพร้อมทั้งในเรื่องฐานลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย และความโดดเด่นด้านแบรนดิ้ง ที่จะเอื้อประโยชน์กันได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการทำตลาดในประเทศให้ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการวางรากฐาน
ที่ดีต่อการมองหาธุรกิจใหม่ๆ และการขยายตลาดซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ฝ่าย ในการพัฒนาและได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการและประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “กลุ่มทรูรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับไชน่าโมบายล์ในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจของของกลุ่มทรู ซึ่งพร้อมที่จะพลิกโฉม(Transform) เป็นผู้นำธุรกิจคอนเวอร์เจนซ์ที่แข็งแกร่งในระดับภูมิภาค โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มทรูได้มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่ง เป็นผู้นำทั้งในด้านบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต เคเบิ้ลทีวี และด้านธุรกิจโมบายล์ทั้ง 3G และ 4G และในวันนี้เมื่อได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับไชน่าโมบายล์ ก็จะเป็นพลังผลักดันที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนให้กลุ่มทรูก้าวเป็นผู้ให้บริการแถวหน้า ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
เมื่อเร็วๆนี้กลุ่มทรูได้มีแผนการปรับฐานการเงินครั้งสำคัญ(Recapitalization) โดยมีมูลค่ารวมกว่า 65,000 ล้านบาทผ่านการจัดสรรหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) แก่ไชน่าโมบายล์ มูลค่าประมาณ 28,600 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 18% ของหุ้นทั้งหมด และการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) อีก 36,400 ล้านบาท
การลงนามสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับไชน่าโมบายล์อย่างเป็นทางการในวันนี้ จะนำไปสู่ความร่วมมือที่จะเอื้อประโยชน์ร่วมกันแก่ทั้ง 2 ฝ่าย โดยกลุ่มทรูจะมีฐานการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์รายใหม่ของไชน่าโมบายล์ ในขณะที่ไชน่าโมบายล์ได้ขยายกิจการของบริษัทไปยังระดับภูมิภาคและระดับโลก
ไชน่าโมบายล์และกลุ่มทรูขณะนี้พร้อมที่จะร่วมกันพิจารณาความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกัน โดยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานโดยมีตัวแทนจากทั้ง 2 องค์กรเพื่อดำเนินงานร่วมกันใน 6 ด้านได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์/บริการเสริม/คอนเทนต์ 2) ธุรกิจระหว่างประเทศ 3) โครงข่าย 4) การจัดซื้อดีไวซ์ 5) การจัดซื้อทั่วไป 6) ทรัพยากรบุคคล โดยคณะทำงานจะร่วมกันกำหนดกลยุทธ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เพิ่มผลประโยชน์ให้แก่ทั้ง 2 ฝ่าย
การร่วมเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในครั้งนี้จะช่วยลดระดับหนี้โดยรวมของกลุ่มทรู และเสริมความแข็งแกร่งให้สถานะทางการเงินของบริษัท อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมเป็นองค์กรที่สร้างกำไร และมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นพันธมิตรกับไชน่าโมบายล์ ไม่เพียงช่วยขยายการลงทุนสู่ระดับภูมิภาค แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของกลุ่มธุรกิจนานาชาติในเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศไทยอีกด้วย