News
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เผยโฉม Work Space ปั้นยูนิคอร์นอาเซียน โชว์พลังศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ประกาศความพร้อมก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รุกปั้นยูนิคอร์นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “One Roof, All Possibilities – ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” เผยโฉม Work Spaceพื้นที่ทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ ตอบโจทย์วิถีการทำงานของคนยุคดิจิทัล ท่ามกลางสตาร์ทอัพและเทคคอมมูนิตี้ พร้อมด้วยเหล่าพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ บริษัท และองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ NIA, DEPA, ETDA, ACE Singapore, KMITL, Google, AWS, Huawei, Ricoh, UOB, Wongnai, MuSpace, Thailand e-Center (TeC), CP Innovation และ True Digital Academyเป็นต้น ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม เวิร์คช้อป ทาวน์ฮอลล์ อีเว้นต์ และกิจกรรมไลฟ์สไตล์เสริมชีวิตการทำงานให้มีสีสันทุกๆวัน เปิดให้สัมผัสบรรยากาศการทำงานที่ให้ได้มากกว่าที่ทำงานแบบเดิมๆ แล้ววันนี้
นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัล ภายใต้แนวคิด “One Roof, All Possibilities – ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้” ล่าสุด เผยโฉม Work Space พื้นที่ทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล ในบรรยากาศที่เปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกันในแต่ละชั้น เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างแท้จริง พร้อมเสริมจุดแข็งและเติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพ รวมทั้งการสนับสนุนและบ่มเพาะจากพาร์ทเนอร์ในทุกมิติ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งธุรกิจ การแบ่งปันและหลอมรวมองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาและศูนย์วิจัยต่างๆ ก้าวล้ำกับเทคโนโลยีจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก พร้อมด้วยบริการต่างๆจากหน่วยงานภาครัฐ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ติดปีกให้สตาร์ทอัพเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ทั้งนี้ Global Innovation Index : GII ซึ่งจัดทำโดย Cornell SC Johnson College of Business และ INSEAD WIPO ได้เปิดเผยผลการประเมินผลดัชนีนวัตกรรมโลกว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 ในปี 2561 มีอันดับที่ดีขึ้น 7 อันดับ โดยมีความโดดเด่นเป็นพิเศษด้านความก้าวหน้าของตลาด (Market Sophistication) ผลลัพธ์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and technology outputs) และอัตราส่วนประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Efficiency Ratio) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศในกลุ่มนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ(Innovation Achievers) อีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้น ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัล เพื่อร่วมสนับสนุนและเสริมศักยภาพของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทรู ดิจิทัล พาร์ค ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 101 สถานีบีทีเอสปุณณวิถี พร้อมเปิดให้บริการครบทุกพื้นที่ในเฟสแรก แล้ววันนี้ โดยแบ่งพื้นที่ให้บริการ 3 ส่วนหลัก คือ Work Space ขนาด77,000 ตร.ม. Lifestyle Space ขนาด 30,000 ตร.ม. และ Living Space ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัย โดย Work Space ของทรู ดิจิทัล พาร์ค จะเป็นศูนย์รวมและสตาร์ทอัพคอมมูนิตี้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Open Innovation เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพให้เติบโตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จถึงระดับที่จะเป็น ‘ยูนิคอร์น’
นายฐนสรณ์ กล่าวและเสริมว่า “สถิตของผู้เข้าทำงานที่ WorkSpace สะท้อนถึงความเป็นระบบนิเวศสมบรูณ์ แบบเพื่อสตาร์ทอัพอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้ใช้งานจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์, โซเชียลแพลตฟอร์ม, EnterprisePlatform, อี-คอมเมิร์ซ, หุ่นยนต์ รวมถึงธุรกิจเทคต่างๆ อาทิ ฟินเทค,ทราเวลเทค, มาร์เก็ตติ้งเทค, พร็อพเทค(PropTech) และ AgriTech เป็นต้น สำหรับสถิติด้านประชากรเป็นชายร้อยละ 57 และหญิงร้อยละ 43 โดยสาขาการทำงานของผู้ที่อยู่ใน True Digital Park ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีมากกว่า 60% ของคนทั้งหมด แบ่งตามสาขาการทำงานได้ดังนี้ กลุ่มวิศวกร ไอที เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร้อยละ 40, งานสนับสนุนทางเทคนิค ร้อยละ 15, ด้านการตลาดดิจิทัล ร้อยละ 6, ด้านบริหารและพัฒนาธุรกิจ ร้อยละ 25 และงานสนับสนุนด้านอื่นๆ เช่น บัญชี, บุคคล ร้อยละ 14
Work Space ประกอบด้วยพื้นที่ 4 โซน ดังนี้
- Co-Working Spaceพื้นที่นั่งทำงาน มีบริการแพนทรี และโซนพักผ่อน
- Office Spaceพื้นที่สำนักงานที่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ใช้เป็นห้องประชุม และจัดกิจกรรม ออกแบบเปิดโล่ง มีบันไดเชื่อมต่อกันทุกชั้น เอื้อต่อการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างคอมมูนิตี้ร่วมกัน
- Innovation Spaceแหล่งรวมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ศูนย์ทดลองนวัตกรรม และการเรียนรู้จากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทต่างๆ และองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ NIA, DEPA, ETDA, ACE Singapore, KMITL, Google, AWS, Huawei, Ricoh, UOB, Wongnai, MuSpace, Thailand e-Center (TeC), CP Innovation และ True Digital Academy เป็นต้น
- Event and Business Services Spaceพื้นที่สำหรับจัดประชุม สัมมนา ศูนย์บริการทางธุรกิจ ศูนย์บริการครบวงจรจากภาครัฐ
Work Space ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้ได้มากกว่าที่นั่งทำงานแบบเดิมๆ โดยสมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค จะมีที่นั่งทำงานสไตล์ Open Space เลือกได้มากกว่า 400 ที่นั่ง ทุกที่เชื่อมต่อสู่โลกดิจิทัลได้ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps และเครือข่าย WiFi ที่ใช้งานได้เฉพาะสมาชิก เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ ฟรีกาแฟ เครื่องดื่ม และบริการแพนทรี (Pantry) ส่วนกลาง นอกจากนี้ ยังมีบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น VC Clinics และเพิ่มโอกาสการลงทุนให้แก่สตาร์ทอัพ, บริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการขอสมาร์ทวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพและชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย, บริการที่ปรึกษาธุรกิจ กฎหมาย บริการสนับสนุนอื่นๆ และสิทธิพิเศษด้านภาษี รวมทั้งยังมีการเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อสร้าง Tech Talent ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดบุคลากรด้านดิจิทัล เป็นต้น
นอกจากจะนั่งทำงานในพื้นที่ Work Space แล้ว สมาชิกทรู ดิจิทัล พาร์ค ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันแบบ Cashless Society สุดล้ำ ได้ที่ Lifestyle Space ไลฟ์สไตล์คอมเพล็กซ์ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานพื้นที่ค้าปลีกเข้ากับธรรมชาติและเทคโนโลยี มีโซนที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่จัดสรรเวลาในการทำงานและใช้ชีวิตด้วยตัวเองอย่างอิสระ เชื่อมต่อทุกกิจกรรมของชีวิต เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนเมือง
“ทรู ดิจิทัล พาร์ค มั่นใจว่า ระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพ และความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาค จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันและขับเคลื่อนการพัฒนาสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีให้ก้าวสู่การเป็นยูนิคอร์นที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในเวทีโลก เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลระดับภูมิภาคได้ในที่สุด” นายฐนสรณ์ กล่าวสรุป