Smart Review
รีวิว vivo X200 Series สมาร์ตโฟนเรือธงทรงพลังรอบด้าน จัดเต็มด้วยชิป Dimensity 9400 | ซูมชัดทุกเรื่องราวด้วยกล้อง ZEISS APO Telephoto 200MP!
รีวิว vivo X200 และ vivo X200 Pro มาแล้วครับ! สองสมาร์ตโฟนเรือธงทรงพลังรอบด้าน ที่รอบนี้เอาจริงกว่าที่เคยด้วยสโลแกน “ZEISS Image, Go Far.” หรือ “ซูมชัด ทุกเรื่องราว” ยกเครื่องกล้องชุดใหม่สูงสุด 200MP, มีชิปเซ็ต Dimensity 9400, แบตเตอรี่ BlueVolt ขนาดใหญ่ เรียกว่าทรงพลังรอบด้านจริง ๆ
หลังจากที่เราลองใช้งานมากว่าสัปดาห์ ลองกล้องมาจนเต็มอิ่ม วันนี้ก็จะ รีวิว vivo X200 Series ให้ชมแบบจัดเต็ม ติดตามกันเลยครับ!
สรุปสเปค vivo X200
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.67″, อัตราส่วน 20:9
- ความละเอียด : FHD+ (1.5K, 2800 x 1260 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 4500nits
- Refresh rate : 120Hz
- ชิปเซ็ต : Dimensity 9400 Octa-core 3.626GHz (3nm)
- RAM : 12GB (LPDDR5X)
- storage : 256GB (UFS 4.0)
- แบตเตอรี่ : 5800mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : 90W FlashCharge
- กล้องหน้า : 32MP f/2.0
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ IMX921 ขนาด 1/1.56″) f/1.57
- 50MP กล้อง Ultra Wide Angle (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
- 50MP กล้อง Periscope 3x (เซ็นเซอร์ IMX882 ขนาด 1/2″) f/2.57
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO, Bluetooth 5.4 และพอร์ต USB-C (USB 2.0)
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP68 & IP69
- ระบบปฏิบัติการ : Android 15 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 15)
- สีสัน : Aurora Green, Midnight Black, Ocean Blue
สรุปสเปค vivo X200 Pro
- หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.78″, อัตราส่วน 20:9
- ความละเอียด : FHD+ (1.5K, 2800 x 1260 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 4500nits
- Refresh rate : 120Hz
- ชิปเซ็ต : Dimensity 9400 Octa-core 3.626GHz (3nm)
- RAM : 16GB (LPDDR5X)
- storage : 512GB (UFS 4.0)
- แบตเตอรี่ : 6000mAh
- ระบบชาร์จเร็ว : 90W FlashCharge
- กล้องหน้า : 32MP f/2.0
- กล้องหลัก : 3 ตัว
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ LYT-818 ขนาด 1/1.28″) f/1.57
- 50MP กล้อง Ultra Wide Angle (เซ็นเซอร์ ISOCELL JN1 ขนาด 1/2.76″) f/2.0
- 200MP กล้อง Periscope 3.7x (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP9 ขนาด 1/1.4″) f/2.67
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6, Wi-Fi 7, WLAN 2.4 GHz/5 GHz/6 GHz, Wi-Fi Display, 2 x 2 MIMO, MU-MIMO, Bluetooth 5.4 และพอร์ต USB-C (USB 3.2)
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น : IP68 & IP69
- ระบบปฏิบัติการ : Android 15 (ครอบทับด้วย Funtouch OS 15)
- สีสัน : Titanium Grey, Midnight Black
ดีไซน์ Micro Quad Curved Screen หน้าจอโค้งใหม่ ละมุนมือมาก
ขอเริ่มที่เรื่องดีไซน์ด้านหน้ากันก่อนเลยดีกว่า vivo X200 Series มาพร้อมหน้าจอทรงใหม่ปรับความโค้งให้เหลือเล็ก ๆ แต่มอบสัมผัสได้อย่างละมุนยิ่งขึ้น vivo ตั้งชื่อว่า Micro Quad Curved Screen ซึ่งจะเป็นกระจกที่มีมุมโค้งเล็ก ๆ ครบทั้ง 4 ด้านเลย
เวลาใช้งานร่วมกับการนำทางแบบ Gesture กับ Refresh rate ลื่น ๆ 120Hz ก็จะเนียนมืออย่างที่บอก เพราะทุกมุมมีความโค้งรับกับนิ้วเราเป็นอย่างดี และยังดูทันสมัย เพราะมอบทั้งความหรูหราในการสัมผัส แต่ก็ลดการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจได้ดีเพราะจอจริง ๆ เป็นจอแบน
แสดงผลสวยด้วยจอ AMOLED สว่างสุด 4500nits
ส่วนการแสดงผล ก็ไม่ต้องห่วงครับ vivo X200 Series ทั้ง 2 รุ่นได้จอ AMOLED ความละเอียด FHD+ (2800 x 1260 พิกเซล) สวยคม แถมมีความสว่างสูงสุด 4500nits มาทั้งคู่ แต่จะมีขนาดที่แตกต่างกันนิดหน่อยคือ vivo X200 ขนาด 6.67″ ส่วน vivo X200 Pro ขนาด 6.78″
ซึ่งใหญ่เพียงพอต่อการเอามาดูคอนเทนต์ต่าง ๆ แล้ว สู้แสงได้ดี แถมตัวจอจริง ๆ ก็เป็นแบบจอตรง (มีแค่กระจกที่โค้ง) ทำให้เวลาเรารับคอนเทนต์ก็จะยังได้อย่างครบถ้วนเหมือนเดิม
ดีไซน์โมดูลกล้องหลังวงแหวน Sunburst มีเอกลักษณ์
พลิกกลับมาดูด้านหลังเครื่องกันบ้าง vivo X200 Series มาพร้อมดีไซน์กล้องหลังวงแหวนเปล่งประกายอันเอกลักษณ์ต่อยอดมาจาก X100 Series เดิมและปรับให้ลงตัวมากกว่าเดิม ใช้ดีไซน์วงแหวน Sunburst แบบสมมาตรทั้ง 2 รุ่นแล้ว เสริมทั้งความแข็งแกร่งและสง่างามในคราวเดียวกัน
สีสันสุดทรงพลัง
ส่วนสีสัน vivo X200 จะมีให้เลือก 3 สีประกอบไปด้วย สีเขียว Aurora Green เป็นสีเขียวปัดเงาที่สื่อถึงความสง่าและความงดงามของธรรมชาติ ตัวฝาหลังจะเป็นผิวด้านมอบสัมผัสยอดเยี่ยมและมีกรอบเครื่องแบบเงางามเพิ่มความหรูขึ้นไปอีก มีสีดำ Midnight Black สีนี้จะเป็นดำด้าน ดูทรงพลัง ตอบโจทย์คนที่ชอบความคลาสสิก
และสีน้ำเงิน Ocean Blue อันนี้จะฉีกไปทางฉูดฉาดเลย เพราะเป็นโทนน้ำเงินเข้ม ดูลึกลับ มีเสน่ห์ เพราะซ่อนลวดลายไว้ใต้ชั้นฝาหลังเพิ่มความโดดเด่นให้อีก
ด้าน vivo X200 Pro จะมาในโทนเรียบง่ายด้วยสีไฮไลท์ Titanium Grey เป็นโทนเทาขัดเงา มาพร้อมเทคโนโลยีการขัดลายพิเศษ เพิ่มความเปล่งประกาย ที่ดูหรูหราและทนทานยิ่งขึ้นไปอีก
หรือถ้ายังอยากได้ความคลาสสิกรุ่น X200 Pro ก็ยังมีตัวเลือกเป็นสีดำ Midnight Black แบบเดียวกับ X200 ให้เลือกเช่นกันครับ
กรอบเครื่องขนาดพอดี จับถนัดมือขึ้น
ด้วยความที่ปรับหน้าจอมาใช้แบบ Micro Quad Curved Screen ก็ทำให้มีพื้นที่ด้านข้างมากขึ้น เพราะตัวจอไม่ได้โค้งจริง ๆ ทำให้ไม่กินพื้นที่ไปถึงกรอบเครื่องเหมือนรุ่นก่อน ๆ กรอบเครื่องจึงมีพื้นที่มากขึ้น เวลาจับถือจะได้ความรู้สึกที่เต็มมือกว่า ถนัดมือขึ้นครับ
แต่เห็นว่ากรอบใหญ่ขึ้นแบบนี้อาจจจะคิดว่าตัวเครื่องหนาขึ้นด้วยไหม ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าความหนาของตัวเครื่องยังทำได้ดีเหมือนเดิม vivo X200 จะบางแค่ 7.99 มม. ด้าน vivo X200 Pro สี Titanium Grey นี้จะบางแค่ 8.49 มม.เท่านั้น เทียบตัวเลขกับรุ่นก่อน รุ่นใหม่บางกว่าอีกนะเออ
ตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ ที่ลงตัว
ปุ่มกดต่าง ๆ ของ vivo X200 และ vivo X200 Pro ก็วางไว้ที่มุมขวาของตัวเครื่องเหมือนกันหมด พอพื้นที่ด้านข้างเพิ่มขึ้น ตัวปุ่มก็ขยายได้มากกว่าเดิม กดง่ายเลยรอบนี้
ด้านบนตัวเครื่องรอบนี้ปรับให้เรียบง่ายกว่าเดิม ไม่มีสโลแกน Professional Photography แบบที่แล้ว ๆ มาและทิ้งพื้นที่ให้ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนแทน ส่วนด้านล่างจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB-C ลำโพงหลักของตัวเครื่อง ไมโครโฟนสนทนาและช่องใส่ซิม
มีมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 & IP69
ด้านความทนทาน vivo X200 และ vivo X200 Pro ทั้งคู่ได้มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 และ IP69 ซึ่งกันทั้งน้ำสะอาด ป้องกันการตกน้ำลึก 1.5 เมตรนาน 30 นาที และน้ำแรงดันสูง กับน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน 80º C ได้ด้วย มั่นใจได้เลยว่าหากเครื่องเปียกหรือเกิดอุบัติเหตุตกน้ำจริง ๆ ก็จะไม่เสียหายง่าย ๆ อย่างแน่นอนครับ
โดยรวมแล้วดีไซน์ของ vivo X200 และ vivo X200 Pro ก็ถือว่าปรับจูนมาให้ลงตัวและทันสมัยขึ้นมาก ทั้งหน้าจอแบบ Micro Quad Curved Screen ที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้ สวยหรูทั้งรูปลักษณ์และการสัมผัส แต่ก็ลดปัญหาที่แล้ว ๆ มาของจอโค้ง 3D ไปได้ มีดีไซน์กล้องหลังวงแหวน Sunburst ที่สมมาตร สง่างามและแข็งแกร่ง อีกทั้งยังปรับกรอบเครื่องให้มีพื้นที่มากขึ้น จับถือได้ถนัดกว่าเดิมด้วย มองจากภายนอกอาจจะคิดว่าดีไซน์ไม่ได้ใหม่อะไรมาก แต่เคยจับถือรุ่นก่อนแล้วมาจับรุ่นนี้จะรู้สึกได้ทันทีว่าดีขึ้นมากครับ!
กล้องที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS อัปเกรดใหม่ เหนือกว่าทุกเรื่องราว
มาต่อที่เรื่องไฮไลท์ของ vivo X200 Series กับ “กล้อง” รอบนี้ได้อัปเกรดระบบการถ่ายภาพร่วมกับ ZEISS Co-engineered Imaging System อีกครั้ง ทั้ง vivo X200 และ vivo X200 Pro ได้กล้องหลังมา 3 ตัว มาดูสเปคเบื้องต้นของแต่ละรุ่นกันก่อนเลย
สเปคกล้อง vivo X200
- 50MP กล้องหลัก VCS True Color (เซ็นเซอร์ IMX921 ขนาด 1/1.56″) f/1.57
- 50MP กล้อง Ultra Wide-angle (เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.76″) f/2.0
- 50MP กล้อง ZEISS Telephoto Camera 3x (เซ็นเซอร์ IMX882 ขนาด 1/2″) f/2.57
สเปคกล้อง vivo X200 Pro
- 50MP กล้องหลัก ZEISS True Color (เซ็นเซอร์ LYT-818 ขนาด 1/1.28″) f/1.57
- 50MP กล้อง Ultra Wide-angle (เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.76″) f/2.0
- 200MP กล้อง ZEISS APO Telephoto Camera 3.7x (เซ็นเซอร์ ISOCELL HP9 ขนาด 1/1.4″) f/2.67
อย่างที่เห็นว่าทั้งคู่ได้ระยะของกล้องมาครบทั้ง Ultra Wide, Wide, Tele แต่จุดที่ต่างกันจริง ๆ คือกล้องหลักและกล้อง Telephoto (Periscope) ในรุ่น X200 จะได้ระยะ 3x เซ็นเซอร์พอเหมาะ แต่ X200 Pro จะได้ระยะ 3.7x เซ็นเซอร์ใหญ่เบิ้มความละเอียด 200MP กันเลย
UI ที่ปรับมาให้ซูมได้ง่ายขึ้น
นอกจากเรื่องฮาร์ดแวร์ระดับสูงแล้ว UI กล้องของ vivo X200 และ vivo X200 Pro ก็มีการปรับแต่งมาใหม่ให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะนอกจากระยะการแตะที่ไอคอน 1x, 2x, 3.7x, หรือ 10x ย้ำเข้าไปจะมีระยะย่อยแล้ว รอบนี้ถ้าเรากดไปที่ระยะซูม 3x (vivo X200) 3.7x (vivo X200 Pro) จะมีตัวเลือกให้เรากดซูมไปไกล ๆ เพิ่มเข้ามาเลย ตั้งแต่ 10x ไปจนถึง 50x เลยล่ะ ไม่ต้องคอยมาเลื่อนแถบซูมเอาเองแล้วนะ
ซูมดีขึ้นด้วย ZEISS APO Telephoto Camera
ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องพลังซูมแล้ว ขอเริ่มที่กล้อง Telephoto กันก่อนเลย เพราะปีนี้ vivo เน้นไปที่กล้องซูมอย่างชัดเจน อัปเกรดสเปคกล้อง Periscope ทั้งคู่ แต่จะมีระยะที่ต่างกันอย่างที่บอกไปก่อนหน้าคือ X200 ได้ระยะ 3x (70มม.) ส่วน X200 Pro จะได้ช่วง 3.7x (85มม.) แถมยังใช้เลนส์ ZEISS APO-Sonnar (เฉพาะ X200 Pro) ที่เคลือบมาอย่างดีอีกด้วย
ด้านคุณภาพถือว่าทำถึงตั้งแต่ vivo X200 แล้วล่ะครับ ทั้งการซูมภาพวิว ภาพวัตถุทำได้คมชัดในระยะ 3x – 6x เอาอยู่สบาย ๆ ส่วน vivo X200 Pro ก็ยิ่งถึงใจขึ้นไปอีก เพราะได้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ความละเอียด 200MP ที่ขนาดใหญ่ถึง 1/1.4″ (ใหญ่กว่ากล้องหลักของ X200 อีก) ไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพเลย มิติก็ยอดเยี่ยมเพราะละลายฉากหลังได้สวยมีมิติมาก
แถมความละเอียดที่เยอะระดับ 200MP ก็ยังให้เราได้ซูมแบบ In-Sensor หรือ Hybrid เข้าไปได้ไกลระดับ 10x – 20x ได้แบบคิดว่าเป็นระยะ Optical จริง ๆ เลยด้วย
Telephoto Super Stage บน vivo X200 Pro
แต่แค่ซูมวิว ซูมอะไรไกล ๆ คงยังน้อยไปสำหรับ vivo X200 Pro เพราะรอบนี้เขามากับโหมด Stage ที่เน้นไปที่การถ่ายเวทีโดยเฉพาะ สายคอนเสิร์ต หรือเทศกาลดนตรี ต้องถูกใจสิ่งนี้แน่นอน เพราะโหมดนี้จะช่วยจัดการแสง การเคลื่อนไหวบนเวทีโดยเฉพาะ ทำให้เราได้ภาพที่คมชัด แสงสีที่พอเหมาะพอเหมาะพอเจาะแบบที่ไม่ต้องตั้งค่าให้ยุ่งยากเลย แค่เล็งจัดองค์ประกอบภาพสวย ๆ เป็นพอ ที่เหลือกล้องและ AI จะจัดการให้ครบหมด ซึ่งโหมด Stage นี้ใช้งานได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอเลยด้วยนะ ดูตัวอย่างด้านล่างนี้ได้เลยครับ
Super Macro ที่ยังตราตรึง
ซูมวิว ซูมคอนเสิร์ตไปแล้ว ทีนี้มาซูมอะไรใกล้ ๆ กันบ้าง กล้อง Periscope ของทั้ง vivo X200 และ vivo X200 Pro นั้นรองรับความสามารถโฟกัสระยะใกล้หรือ Tele Macro ด้วย ทำให้เราถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ได้สมจริงยิ่งขึ้น มิติของภาพไม่บวมจนเกินไป อยากเจาะดอกไม้, แมลง, ดวงตา ก็เข้าใกล้ได้แบบคมชัด และหากเราเลือกเปิดโหมด Super Macro ด้วย ตัวซอฟต์แวร์จะช่วยในเรื่องการล็อกโฟกัสให้แม่นยำ แถมเพิ่มเอฟเฟกต์ละลายฉากหลังเข้าไปอีกด้วย สุดมาก!
Portrait ครบระยะพร้อม ZEISS Multifocal Portrait ใหม่!
ส่วนในโหมด Portrait หรือการถ่ายภาพคน vivo X200 และ vivo X200 Pro ก็ยังมี ZEISS Multifocal Portrait มาให้เลือกเหมือนเดิม ซึ่งจะมีระยะให้ใช้งานได้มากถึง 5 ระยะคือ 24มม./35มม./50มม. และระยะซูมไกลใหม่ 85มม. กับ 135มม. เข้ามาเติมเต็มในการถ่ายพอร์ตเทรตได้ดีขึ้น และในแต่ละระยะก็จะฟิลเตอร์พร้อม ZEISS Portrait Style ติดมาด้วยเหมือนเดิม
และด้วยฮาร์ดแวร์ที่อัปเกรดมาขนาดนี้ บวกกับซอฟต์แวร์ที่ปรับจูนได้เข้าก๊านเข้ากัน ทำให้ vivo X200 และ vivo X200 Pro นั้นถ่าย Portrait ได้สวยแบบไร้ที่ติจริง ๆ การตัดขอบยอดเยี่ยม โทนของภาพที่ดูเป็นมืออาชีพเหมือนกล้องโปรจริง ๆ หรือ Portrait Style ที่เสริมความเป็น ZEISS เข้าไปได้อย่างน่าทึ่ง อีกทั้ง ZEISS Multifocal Portrait ก็ช่วยให้เราได้ภาพสวยเหมือนพกเลนส์ ZEISS แพง ๆ มาเปลี่ยนเลยจริง ๆ
กล้องหลักตัวใหม่ล่าสุด เก็บแสงดี คล่องตัวกว่าเดิม
เห็นกล้อง Tele ซูมโหด ซูมดีขนาดนี้ อย่าเพิ่งนึกว่า vivo X200 และ vivo X200 Pro มีดีแค่เรื่องซูมทีเดียวเชียว เพราะในกล้องหลัก รอบนี้ vivo ก็เลือกใช้เซ็นเซอร์กล้องตัวใหม่อย่าง IMX921 และ LYT-818 ตามลำดับ ช่วยให้เราเก็บภาพในระยะ Wide ปกติได้อย่างครบถ้วน แสงสีดีงาม แม้ดูจากตัวเลขสเปคจริง ๆ LYT-818 ของ vivo X200 Pro จะมีขนาดเล็กลงกว่าตอน X100 Pro (1/1.28″ vs 1″) แต่ในการใช้งานจริง เราไม่ได้คิดว่ากล้องแย่ลงเลย ทั้งมิติของภาพที่ยังละลายหลังได้สวย การเก็บ Dynamic Range ตรงนี้ต้องขอบคุณความสดใหม่ของเทคโนโลยีที่เพิ่งเปิดตัว บวกกับขนาดที่ไม่ได้ใหญ่สุดถึง 1″ ทำให้การประมวลผลต่อหลังถ่ายเสร็จเร็วขึ้นอีกด้วยนะ
กล้อง Ultra Wide เก็บมุมกว้าง 119º
ส่วนกล้อง Ultra Wide ของ vivo X200 และ vivo X200 Pro นั้นจะได้มาเป็นตัวเดียวกันเลยคือ ISOCELL JN1 ความละเอียด 50MP ขนาด 1/2.76″ แม้ตัวเลขอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่ากับกล้องอีก 2 ตัว แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานมาก ๆ แล้วครับ ทั้งมุมมองที่กว้าง 119º โทนสีที่เก็บมาได้ใกล้เคียงกับกล้องหลักของทั้งคู่ ใครที่ชอบภาพมุมกว้างแบบที่โทนภาพสวย ๆ เหมือนกล้องหลักน่าจะถูกใจครับ
วิดีโอที่ลื่นไหลที่สุด พร้อมความละเอียดสูงสุด 8K
มาต่อในเรื่องวิดีโอกันบ้าง vivo X200 Pro สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ 8K/30fps ด้วยกล้องหลัก แต่ถ้าอยากใช้งานแบบครบทุกกล้องก็ปรับไปที่ 4K/60fps ได้ครับ สามารถสลับกล้องระหว่างถ่ายได้แล้ว ซูมได้สูงสุดที่ 20x ด้วยนะ แต่ทั้งนี้บน vivo X200 จะถ่ายได้สูงสุดที่ 4K/30fps แบบสลับกล้องได้ครับ
มี 4K HDR Cinematic Portrait ด้วยบน vivo X200 Pro
หรือใครที่ชอบงานวิดีโอแบบหน้าชัด-หลังเบลอไว้ถ่ายคนสวย ๆ บน vivo X200 Pro ก็สามารถถ่ายได้แบบชัดสุด ๆ ที่ 4K/30fps แบบ HDR ด้วยเมื่อซูมไปที่ระยะ 2x หรือ 3.7x ให้เราได้ภาพที่สวยคมและละลายหลังได้เนียนตามาก ๆ พร้อม Styles ให้เลือกปรับโทนอีก 6 แบบคือ Natural portrait/Warm time/Summer sea breeze/Classic movies/Retro soft focus/HK night
กล้องหน้า 32MP เซลฟี่สวยระดับเรือธง
และที่กล้องหน้า vivo X200 และ vivo X200 Pro ให้ความละเอียดมาที่ 32MP มีฟีเจอร์ AI Beauty รวมถึง Portrait ที่มี ZEISS Portrait Style คุณภาพของไฟล์ก็สวยถูกใจสาว ๆ แน่นอน ผิวสวย ใบหน้าเนียน หรือจะการละลายฉากหลังก็โปรขึ้นไปอีกครับ ส่วนวิดีโอในที่สุดก็รองรับสูงสุดถึง 4K/60fps แล้ว หมดยุคกล้องหน้าเรือธง 1080p เสียทีครับ!
มี vivo V3+ Imaging Chip เบื้องหลังความเทพ
เบื้องหลังความเทพของทั้งภาพนิ่งและวิดีโอของ vivo X200 Pro นี้ก็ไม่ได้มาจากฮาร์ดแวร์กล้องอย่างเดียว เพราะบน vivo X200 Pro นั้นได้ชิป vivo V3+ แบบ 6nm ที่ออกแบบเองโดย vivo เสริมความเก่งกาจเข้าไปอีก บวกกับตัว ISP ของชิป MediaTek Dimensity 9400 ที่รองรับการถ่าย 4K HDR Cinematic Portrait ด้วยแล้ว ทำให้ได้ภาพแสงน้อยและภาพพอร์ตเทรตที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เห็นเลยครับ
โดยรวมแล้ว กล้องของ vivo X200 และ vivo X200 Pro นั้นบอกเลยว่าทำให้เราประทับใจได้แบบไม่รู้จบจริง ๆ เพราะทั้งฮาร์ดแวร์ที่ยกเครื่องมาในระดับสูงสุดกับกล้อง ZEISS APO Telephoto 200MP ซูมได้ถึงใจขึ้น แถมยังได้ซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้เร็วขึ้น ประมวลผลได้ชัดเจนกว่าเดิมกับ โหมดที่เอื้อการถ่ายให้สนุกแบบสุด ๆ ทั้ง Stage, Telephoto Macro หรือ ZEISS Multifocal Portrait รับรองว่าใครที่ชอบถ่ายภาพ ถ้าได้ลอง 2 รุ่นนี้จะต้องตกหลุมรักอย่างหมดใจได้ไม่ยากนักเลยล่ะครับ!
ชิปเซ็ตเรือธงที่ร่วมพัฒนาระหว่าง vivo และ MediaTek
มาต่อกันที่เรื่องประสิทธิภาพ vivo X200 Series มาพร้อมชิปเซ็ตเรือธงรุ่นล่าสุดของ MediaTek อย่าง Dimensity 9400 ที่ผลิตแบบ 3nm แล้ว มาพร้อมสถาปัตยกรรม CPU แบบ All-Big Core รุ่นที่ 2 เคลมว่าแรงขึ้นกว่าเดิม 28% แต่ตัวเครื่องเย็นกว่าที่เคย เพราะทาง vivo ได้ทำการพัฒนาร่วมกับ MediaTek อย่างใกล้ชิดจนเป็นโครงการ vivo BlueChip ขึ้นมานั่นเอง
ส่วนเรื่องความจุ vivo X200 Series ในบ้านเราจะมีให้เลือกรุ่นละความจุเดียวเลยคือ
vivo X200 ความจุ 12GB + 256GB
vivo X200 Pro ความจุ 16GB + 512GB
โดยทั้ง 2 รุ่นจะใช้ RAM แบบ LPDDR5X พร้อมฟีเจอร์ Extended RAM ที่สามารถจำลอง RAM เพิ่มได้อีก 16GB รวมกันเป็นสูงสุด 32GB ส่วน Storage ก็ให้มาแบบ UFS 4.0 ทั้งคู่ใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไร้กังวลแน่นอนครับ
ผลทดสอบสูงถูกใจแน่นอน!
สำหรับใครที่อยากรู้ตัวเลขผลทดสอบของ vivo X200 และ vivo X200 Pro ให้เห็นภาพถึงความแรงของชิป Dimensity 9400 เราก็ลองทดสอบมาให้ชมกันชัด ๆ เลย คะแนน AnTuTu Benchmark ออกมาสูงตามนี้เลยครับ
vivo X200 = 2518950 คะแนน
vivo X200 Pro = 2518008 คะแนน
ส่วนฝั่ง Geekbench 6 ก็ได้คะแนนออกมาสูงไม่แพ้กัน ดังนี้เลยครับ
vivo X200 = Single-Core 2680 คะแนน | Multi-Core 7934 คะแนน
vivo X200 Pro = Single-Core 2722 คะแนน | Multi-Core 8034 คะแนน
เล่นเกมหน่อยดีกว่า
เห็นผลทดสอบไปแล้ว แน่นอนว่าคะแนนระดับนี้เล่นเกมไหนก็คงไม่กระตุกอยู่แล้ว แต่เราก็ขอพิสูจน์กันหน่อยดีกว่าว่าจะถึงใจสักแค่ไหน ตัวสเปคหลักของ vivo X200 และ vivo X200 Pro แทบจะเหมือนกันทั้งหมด ประสบการณ์การเล่นจึงถือว่าดีงามทั้งคู่ เกมที่เราจะใช้ทดสอบในรอบนี้มี 3 เกมคือ PUBG Mobile, , Genshin Impact และ Call of Duty Mobile ครับ ผลเป็นไงมาดูกันเลย!
เล่น Genshin Impact บน vivo X200 Pro
เริ่มที่ Genshin Impact ก่อนเลย เกมนี้เราปรับกราฟิกไปที่ระดับสูงสุด พร้อมเปิด 60fps (แต่ปิด Motion Blur) ก็ได้ภาพที่สวยงามอลังการมากบนจอของ vivo X200 Pro การควบคุมทำได้อย่างนุ่มนวล ส่วนเรื่องประสิทธิภาพก็หายห่วงครับลื่นไหลดีมาก ๆ แม้จะเล่นติดต่อกันไปนาน ๆ หาได้ยากเหมือนกันนะที่จะเล่นเกมนี้ได้อย่างลื่นไหลขนาดนี้ครับ
เล่น PUBG บน vivo X200
มาต่อกันที่ PUBG Mobile ตรงนี้เราสามารถปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้ 2 แบบคือ แบบภาพสวยสุด Ultra HDR + Extreme หรือแบบเฟรมเรตลื่นสุด Smooth + Ultra Extreme ซึ่งในการทดสอบนี้เราเลือกไปที่เฟรมเรตสูงสุด ตัวเกมก็สามารถรันได้ที่ 120fps แบบลื่น ๆ เลยทีเดียว เล่นได้อย่างลื่นไหล ตอบสนองไว สนุกสุด ๆ ไปเลยล่ะครับ
เล่น Call of Duty บน vivo X200
ส่วนเกม Call of Duty เกมยิงที่เราเล่นเป็นประจำ เกมนี้ก็ปรับระดับกราฟิกและเฟรมเรตได้ 2 แบบเช่นกันคือ Very High + Max หรือ Medium + Ultra พร้อมเอฟเฟกต์อื่น ๆ ได้หมด เท่าที่เราเล่นก็เพลิดเพลินไปกับกราฟิกที่สวยงามและเฟรมเรตที่ลื่นไหลเป็นอย่างดี ยิ่งถ้าเปิดเฟรมเรตเป็น Ultra ก็ทำได้ลื่นระดับ 120fps จริง ๆ ครับ
แบตเตอรี่เทคโนโลยี BlueVolt ใหม่ ใช้งานจุใจขึ้นมาก
ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ vivo X200 และ vivo X200 Pro มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ BlueVolt และรูปแบบแบตเตอรี่ Silicon Anode รุ่นที่ 3 เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม เพิ่มความจุแบตฯมาเยอะมาก แต่ละรุ่นจะมีความจุดังนี้
vivo X200 แบตเตอรี่ความจุ 5800mAh
vivo X200 Pro แบตเตอรี่ความจุ 6000mAh
แน่นอนว่าความจุระดับนี้ ใช้งานจริงเหลือ ๆ เลยครับ เท่าที่เราถือใช้งานมากว่าสัปดาห์ก็รู้สึกถึงความอึดของแบตเตอรี่ในทั้ง 2 รุ่นจริง ๆ ใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวลเลยว่าจะแบตฯหมดถ้าใช้งานหนักจริง ๆ
ส่วนระบบชาร์จทั้ง vivo X200 และ vivo X200 Pro จะได้ชาร์จเร็ว 90W FlashCharge มาทั้งคู่ ชาร์จแบตฯเยอะ ๆ ให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการชาร์จไร้สายจะมีแค่ vivo X200 Pro เท่านั้น ความเร็ว 30W ครับ
ใช้ FunTouchOS 15 แล้ว หน้าตาสวยขึ้น ลูกเล่น AI มี
ปิดท้ายที่เรื่องซอฟต์แวร์เนาะ vivo X200 และ vivo X200 Pro มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 15 ที่ครอบทับมาด้วย FunTouchOS 15 เวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งรอบนี้มีการปรับหน้าตาให้สวยขึ้น เพิ่มการปรับแต่งบางอย่างจาก OriginOS ของฝั่งจีนมากขึ้นอีก
ทั้งการปรับแต่งไอคอนที่เราสามารถเลือกได้หลายแบบมากขึ้น ปรับขนาดไอคอนให้ใหญ่สวยน่ากดกว่าเดิม หรือจะเป็นรูปแบบหน้าจอล็อกที่ปรับฟอนต์ ทางลัด หรือ Wallpaper ได้หลากหลายขึ้นด้วยครับ
ฟีเจอร์ AI ก็มีมาให้ใช้งานแล้ว อย่างฟีเจอร์ฮิต Circle to Search ที่ร่วมกับ Google ก็มีมาให้กดปุ่มโฮมค้างไว้เพื่อวงค้นหาได้เลย หรือจะแปลภาษาแบบทั้งหน้าก็ทำได้เลย อันนี้สะดวกเลยล่ะ
ฟีเจอร์ AI Note Assist ช่วยตัดระเบียบโน้ต สรุปข้อความ ลิสต์สิ่งที่ต้องทำ ไปจนถึงแปลภาษาก็มีมาให้เลือกใช้แบบครบ จบ ในที่เดียวเลย
AI Transcript Assist ถอดเทปจากบันทึกเสียงของเรา จัดระเบียบประเด็นสำคัญ สรุปเนื้อหา ค้นหาคำสำคัญได้ตามต้องการ
หรือ AI Erase สำหรับช่วยลบคน ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพ ซึ่งรอบนี้ vivo ยังเพิ่มความสามารถในการตรวจจับคนเข้ามาเลย แบบที่เราไม่ต้องไปคอยวงลบทีละคน หรือจะเป็นการลบแสงสะท้อนในภาพ ก็มีด้วยเช่นกันครับ
ราคาและโปรโมชั่น vivo X200 Series
vivo X200 Series เริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ มีให้เลือกรุ่นละความจุเดียวเลยดังนี้ครับ
vivo X200 (12GB+256GB) ราคา 29,999 บาท
วางจำหน่าย 3 สี เขียว Aurora Green, ดำ Midnight Black, น้ำเงิน Ocean Blue
vivo X200 Pro (16GB+512GB) ราคา 39,999 บาท
วางจำหน่าย 2 สี เทา Titanium Gray, ดำ Midnight Black
โปรโมชั่น ! เมื่อซื้อสินค้าทั้งสองรุ่น
- vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999.-)
- Premium Case (มูลค่า 890.-)
- โปรเครื่องเก่าแลกเครื่องใหม่ จากราคาประเมินสูงสุด 8,000 บาท
สรุปแล้ว “นี่คือเรือธงที่เก่งรอบด้าน ยอดเยี่ยมที่สุดจาก vivo”
สรุปแล้ว vivo X200 Series คือสมาร์ตโฟนเรือธงที่ยอดเยี่ยมที่เก่งรอบด้าน และยอดเยี่ยมที่สุดของ vivo ในปี 2024 นี้แล้วจริง ๆ ทั้งกล้องที่ยกระดับมาถึงจุดสูงสุดด้วยกล้อง ZEISS APO Telephoto 200MP ซูมคม ซูมชัด ทุกเรื่องราว รองรับในทุกการถ่ายภาพและวิดีโอความละเอียดสูง ถ่ายวิว ถ่ายพอร์ตเทรต หรือคอนเสิร์ต มีชิปเซ็ตที่เร็วถึงใจ Dimensity 9400 แบตเตอรี่ BlueVolt ใหม่ที่ไว้ใจได้และใช้งานได้แบบไร้กังวล ดีไซน์ปรับใหม่ด้วยจอ Micro Quad Curved Screen ลงตัวและใช้งานได้จริง หรือจะเป็นซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุด FunTouchOS 15 ที่สวยขึ้นมีฟีเจอร์ AI ให้ใช้อีกด้วย ไม่แปลกใจจริง ๆ ที่ vivo นำเสนอว่านี่คือเรือธงที่เก่งรอบด้าน ใครที่กำลังหารุ่นที่ครบที่สุดจาก vivo เป็นของขวัญให้ตัวเองในช่วงสิ้นปีนี้ X200 Series นี่แหละคือคำตอบครับ!