Apple News
ทำไม iPhone มี RAM น้อยกว่า Android แต่ใช้งานลื่น และ Apple ไม่เคยบอก
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม iPhone มี RAM น้อยกว่า Android แต่ก็ยังใช้งานลื่น และทำไม Apple ไม่เคยบอกว่าให้ RAM มีขนาดเท่าไหร่ในแต่ละรุ่น โดยบอกเพียงความจุตัวเครื่องเท่านั้น
แฟนๆ iPhone เวลาเลือกซื้อจะสามารถเลือกสี เลือกความจุตัวเครื่องได้เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงตอนใช้งานเวลาโหลดแอป เก็บรูปภาพ วิดีโอ เพลง และอื่นๆ แต่จะไม่เคยเห็นตัวเลือกขนาดหน่วยความจำ RAM
หากมองไปที่สมาร์ทโฟน Android ทุกรุ่นในตลาด จะมีการระบุหน่วยความจำ RAM อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมีขนาดกี่ GB ก็ต้องบอก ซึ่งหน่วยความจำนี้ไม่สามารถเพิ่มภายหลังเองได้ ต้องเลือกขนาดที่ต้องการเวลาที่ซื้อเครื่อง
iPhone แต่ละรุ่นมี RAM เท่าไหร่
แม้ว่า Apple จะไม่ได้ระบุข้อมูล RAM ที่ใส่มา iPhone แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทราบถึงหน่วยความจำนี้ด้วยเครื่องมือมากมายในปัจจุบัน รวมไปถึงฐานข้อมูลจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือหลายแหล่ง โดย iPhone 1 ซึ่งเป็นรุ่นแรกมี RAM เพียง 128MB และรุ่นล่าสุด iPhone 13 มี RAM 4GB หรือ 6GB
- iPhone 1 (รุ่นแรก): 128 MB
- iPhone 3G: 128 MB
- iPhone 3GS: 256 MB
- iPhone 4: 512 MB
- iPhone 4s: 512 MB
- iPhone 5: 1 GB
- iPhone 5c: 1 GB
- iPhone 5s: 1 GB
- iPhone 6: 1 GB
- iPhone 6 Plus: 1 GB
- iPhone 6s: 2 GB
- iPhone 6s Plus: 2 GB
- iPhone SE (รุ่นที่ 1): 2 GB
- iPhone 7: 2 GB
- iPhone 7 Plus: 3 GB
- iPhone 8: 2 GB
- iPhone 8 Plus: 3 GB
- iPhone X: 3 GB
- iPhone XS: 4 GB
- iPhone XS Max: 4 GB
- iPhone XR: 3 GB
- iPhone 11: 4 GB
- iPhone 11 Pro: 4 GB
- iPhone 11 Pro Max: 4 GB
- iPhone SE (รุ่นที่ 2): 3 GB
- iPhone 12: 4 GB
- iPhone 12 mini: 4 GB
- iPhone 12 Pro: 6 GB
- iPhone 12 Pro Max: 6 GB
- iPhone 13: 4 GB
- iPhone 13 mini: 4 GB
- iPhone 13 Pro: 6 GB
- iPhone 13 Pro Max: 6 GB
หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในรุ่นใหญ่ ตั้งแต่ iPhone 7 Plus ไล่มาจนถึงรุ่น Pro และ Pro Max จะมีหน่วยความจำ RAM ที่มากกว่ารุ่นเล็ก แต่ก็ถือว่ายังน้อยกว่าสมาร์ทโฟน Android รุ่นแฟล็กชิปจากทุกค่ายที่เปิดตัวพร้อมกัน
ทำไม iPhone มี RAM น้อยกว่า Android แต่ใช้งานลื่น
iMore ให้ข้อมูลว่า iPhone ไม่ต้องการ RAM มากเท่ากับสมาร์ทโฟน Android ด้วยเหตุผลอย่างแรก Apple สร้างระบบปฏิบัติการ iOS และ iPhone ทั้งหมด ตั้งแต่ชิปประมวลผลไปจนถึงไอคอน ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เต็มที่ ในขณะที่ Android มีผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายรายเลือกใช้ที่แตกต่างกัน
เหตุผลอย่างที่สองที่คล้ายคลึงกันคือ iOS เป็น Native Platform และแอป iOS ก็เป็นแอปพื้นฐานที่เขียนในภาษาดั้งเดิม Objective C และ Swift ในขณะที่ Android เป็น Interpreted Platform และแอปต่างๆ ก็ทำงานผ่านเครื่องเสมือน จากเดิมใช้ Dalvik ตอนนี้เป็น Android Runtime และแปลงเป็นภาษา Java หรือ Kotlin อีกครั้ง แม้จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพก็น้อยลง
เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานแอปบน Android จะมีกระบวนการหนึ่งเกิดขึ้นซึ่งเรียกว่า garbage collection ที่เกิดขึ้นหลังจากผู้ใช้งานได้ปิดแอปนั้นไปแล้ว ซึ่งรวมเป็นไฟล์ขยะในหน่วยความจำและจำเป็นต้องใช้หน่วยความจำ 4 – 8 เท่าเพื่อดำเนินการปิดแอพให้สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้หากหน่วยความจำไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้เครื่องเกิดการทำงานช้าลงหรือกระตุกค้างนั่นเอง ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ iOS จะไม่มีกระบวนการ garbage collection หรือไม่มีการเก็บไฟล์ขยะเหล่านั้น จึงทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ Apple มักจะแสดงให้เห็นถึงความง่ายในการใช้งาน ทำให้เทคโนโลยีนั้นง่ายต่อการเข้าใจ และไม่ต้องมีความซับซ้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนอยากให้ Apple พูดถึงขนาด RAM รวมไปถึงปริมาณความจุแบตเตอรี่ด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Apple ไม่เคยบอกหน่วยความจำ RAM ใน iPhone แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกสมาร์ทโฟนมาใช้งานก็ยังขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับแต่ละคน เอาเป็นว่าชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้นครับ