Featured
รีวิว Xiaomi 14 | 14 Ultra เรือธงกล้องเทพในสองขนาด พร้อมการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ Next-Generation ของ Leica!
รีวิว Xiaomi 14 Series สองเรือธงกล้องเทพรุ่นล่าสุด สร้างมาตรฐานการถ่ายภาพและวิดีโอระดับ Next-Generation ของ Leica! รอบนี้มาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra อัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีกล้องใหม่ที่พัฒนาร่วมกับ Leica ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์บอกเลยว่าถึงใจแน่นอน นอกจากนี้ยังอัปเกรดสเปคมารอบด้านทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3, หน้าจอสว่างสูงสุด 3000nits หรือระบบปฏิบัติการใหม่ HyperOS อีกด้วย
และหลังจากเราได้ลองใช้งานจริงมากกว่า 1 สัปดาห์ก็ขอมารีวิวแบบเต็ม ๆ ให้ว่ากล้องรุ่นนี้สมการรอคอยสักแค่ไหน พร้อมแล้วมาติดตามกันเลยครับ!
สรุปสเปค Xiaomi 14
- ขนาดตัวเครื่อง : 152.8 x 71.8 x 8.2 มม.
- น้ำหนัก : 193 กรัม
- หน้าจอ : C8 AMOLED ขนาด 6.36″, กระจกหน้าจอ Gorilla Glass Victus
- ความละเอียดหน้าจอ : 2670 x 1200 พิกเซล, ความสว่างสูงสุด 3000nits
- Refresh rate : 1-120Hz (LTPO), AdaptiveSync Pro
- ชิปเซ็ต : Snapdragon 8 Gen 3 Octa-Core (4nm)
- RAM : 12GB (LPDDR5X)
- ความจุ : 256GB/512GB (UFS 4.0)
- แบตเตอรี่ : 4610mAh
- ระบบชาร์จไว : 90W HyperCharge (แบบสาย) | 50W HyperCharge (ไร้สาย)
- กล้องหน้า : 32MP f/2.0
- กล้องหลัง : 3 ตัว LEICA VARIO-SUMMILUX
- 50MP กล้องหลัก (Light Fusion 900) f/1.6
- 50MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 50MP กล้อง Tele 3.2x f/2.0
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68
- ระบบปฏิบัติการ Android 14 (HyperOS)
- สีสัน : ขาว, ดำ, เขียว Jade Green
สรุปสเปค Xiaomi 14 Ultra
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.4 x 75.3 x 9.2 มม.
- น้ำหนัก : 219.8 กรัม
- หน้าจอ : C8 AMOLED ขนาด 6.73″, กระจกหน้าจอ Xiaomi Shield Glass
- ความละเอียดหน้าจอ : WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล), ความสว่างสูงสุด 3000nits
- Refresh rate : 1-120Hz (LTPO), AdaptiveSync Pro
- ชิปเซ็ต : Snapdragon 8 Gen 3 Octa-Core (4nm)
- RAM : 16GB (LPDDR5X)
- ความจุ : 512GB (UFS 4.0)
- แบตเตอรี่ : 5000mAh
- ระบบชาร์จไว : 90W HyperCharge (แบบสาย) | 80W HyperCharge (ไร้สาย)
- กล้องหน้า : 32MP f/2.0
- กล้องหลัง : 3 ตัว LEICA VARIO-SUMMILUX
- 50MP กล้องหลัก (LYT-900) f/1.63 – f/4.0, OIS
- 50MP กล้อง Ultra Wide (IMX858) f/1.8
- 50MP กล้อง Tele 3.2x (IMX858) f/1.8, OIS
- 50MP กล้อง Periscope 5x (IMX858) f/2.5, OIS
- มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68
- ระบบปฏิบัติการ Android 14 (HyperOS)
- สีสัน : ขาว, ดำ
แกะกล่อง Xiaomi 14 | 14 Ultra
ก่อนจะไปเริ่มรีวิว เรามาดูตัวกล่องและเช็กอุปกรณ์ที่ให้มากันก่อนดีกว่า กล่องของทั้งคู่ยังคงแบ่งแยกด้วยสีพื้นต่างกันเหมือนเคย คือ Xiaomi 14 ใช้กล่องสีขาว ส่วน Xiaomi 14 Ultra จะใช้กล่องสีดำ ระบุชื่อรุ่นไว้ตรงกลางพร้อมโลโก้ Co-Engineered with Leica เด่น ๆ เหมือนเดิมครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องของทั้งคู่จะให้มาคล้ายกัน คือมีคู่มือ, เข็มจิ้มถาดซิม และเคส ซึ่งเคสที่แถมมาให้จะแตกต่างกันนิดหน่อยคือของ Xiaomi 14 จะเป็นเคสซิลิโคนแบบนิ่ม ส่วนของ Xiaomi 14 Ultra จะเป็นเคสแข็งที่มีลวดลายที่ด้านหลังด้วยครับ
ส่วนสายชาร์จที่ให้มาในกล่องจะเป็นแบบ USB-C to USB-A รอบนี้ทั้งคู่ไม่มีแถมที่ชาร์จมาให้แล้ว แต่ในกล่องยังมีเว้นช่องว่างไว้อยู่ ซึ่งจะเหมือนตอน Xiaomi 13T Series รุ่นก่อนที่ไม่แถมมาให้แล้วนั่นเอง
เบ็ดเสร็จแล้วอุปกรณ์ในกล่องของ Xiaomi 14 | 14 Ultra ก็ให้มาทั้งหมด 5 อย่างดังนี้เลย
- ตัวเครื่อง Xiaomi 14 | Xiaomi 14 Ultra
- เคสซิคิโคนนิ่ม (Xiaomi 14) | เคสแข็ง (Xiaomi 14 Ultra)
- สายชาร์จ
- เอกสารคู่มือ
- เข็มจิ้มถาดซิม
ส่วนที่หน้าจอทั้งคู่จะมีติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่องเลย พร้อมใช้งานได้ทันที แต่ว่าไม่แถมที่ชาร์จมาแล้วนี่แหละเนาะ เพราะทั้งคู่จะมีระบบชาร์จเร็วถึง 90W HyperCharge แบบเฉพาะด้วย ถ้าไม่ได้ซื้อเพิ่มก็คงไม่ได้ความเร็วเต็มที่เครื่องทำได้น่ะเนาะ
2 ไซซ์ 2 ขนาด กับดีไซน์ที่แตกต่าง
มาเริ่มกันที่ดีไซน์กันก่อนเลยดีกว่าครับ อย่างที่บอกว่า Xiaomi 14 Series ในปีนี้มาด้วยกัน 2 รุ่น (ที่ขาย Global) คือ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra แบ่งกลุ่มผู้ใช้ชัดเจนคือรุ่นเริ่มต้นสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวพกพาสะดวก ส่วนรุ่น Ultra ก็เจาะกลุ่มคนที่ชอบความอลังการจัดเต็มแบบทุกด้าน ซึ่งทั้งคู่จะมีดีไซน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย งั้นเราจะมาพาชมตัวเครื่องกันไปทีละรุ่นดีกว่าเพื่อไม่ให้สับสนเนาะ
Xiaomi 14 กะทัดรัด พกง่ายแต่ยังได้ฟิลเรือธง
มาดูที่ Xiaomi 14 ก่อน รุ่นนี้จะหน้าจอขนาด 6.36″ เป็นขนาดที่กะทัดรัดดีมาก อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้จะเน้นไปที่การพกพาที่สะดวก ซึ่งหาได้ยากบนเรือธงในปี 2024 แบบนี้ เพราะปกติรุ่นเรือธงก็จะเน้นไปที่ความใหญ่สุด เต็มตาสุด ทำให้พอได้จับเครื่องที่เล็กพอดีมือแบบนี้ก็แอบถูกใจอยู่เหมือนกัน
ตัวหน้าจอของ Xiaomi 14 จะเป็นจอ AMOLED แบบ Flat ไปเลย ไม่มีความโค้งของกระจกใด ๆ ทำให้เราได้ความเต็มตาของการแสดงผล แถมขอบหน้าจอที่บางเฉียบมากเพียง 1.61มม.ยังทำให้รู้สึกว่าได้จอที่เต็มมาก ในขณะที่เครื่องเล็กกะทัดรัดไปด้วยครับ สีสันและความคมชัดก็ดีเลยด้วยความละเอียดระดับ 1.5K (2670×1200 พิกเซล) แถมยังอัปเกรดความสว่างสูงสุดไปถึง 3000nits แล้ว ใช้งานกลางแจ้งสบายตามาก
ส่วนเรื่องการตอบสนองก็ได้ Refresh rate สูงสุด 120Hz มาเลย ทำงานได้อย่างลื่นไหลไปหมด ยิ่งบน HyperOS ใหม่ของ Xiaomi ที่ปรับแต่งมาได้อย่างดีด้วยแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะตัวหน้าจอยังเป็นแบบ AdaptiveSync Pro ที่ปรับขึ้น-ลงได้ตามการใช้งานแต่ตั้ง 1-120Hz ทำให้ถ้าเราไม่ใช้งานก็จะประหยัดแบตได้ด้วยครับ
กรอบเครื่องของ Xiaomi 14 จะเป็นโลหะขัดเงา ซึ่งให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมมาก ๆ แม้รูปทรงจะเป็นแบบเหลี่ยมไปเลย แต่ก็เหลี่ยมแบบกำลังดีไม่บาดมือ และตามมุมเครื่องก็จะมีความโค้งให้เวลาถือบนมือแล้วเข้ามือมาก ไม่ทึ่มจนเจ็บ ความบางของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 8.2 มม.ถือว่าบางและจับได้ถนัดมือทีเดียวครับ
พลิกกลับมาดูที่ด้านหลังกันบ้าง Xiaomi 14 จะมาพร้อมฝาหลังกระจกโค้ง ที่มีกล้องหลังกรอบสี่เหลี่ยมตัดมุมโค้งอยู่ที่มุมซ้ายบน มีกล้องหลังก็ได้มา 3 ตัววางเรียงกันและที่ขาดไม่ได้เลยคือคำว่า Leica พร้อมข้อมูลสเปคกล้องคร่าว ๆ ด้วย และถ้าสังเกตดี ๆ ที่ฐานกล้องจะมีลวดลายที่เพิ่มความหรูหราเพิ่มเข้ามาอีกด้วยครับ
ปุ่มกดอยู่ที่ด้านขวาตัวเครื่องทั้งหมดพื้นผิวเป็นแบบเรียบ ๆ แต่ก็กดได้ง่าย ด้วยความที่ตัวเครื่องไม่ใหญ่ วางตำแหน่งได้ดีต่อการกดมือเดียวอยู่นะ พอร์ตจะอยู่ด้านล่างตัวเครื่องเป็น USB-C มีไมโครโฟนกับลำโพงและช่องใส่ซิมอยู่ด้วยครับ
รีวิว Xiaomi 14 นั้นให้ดีไซน์ที่เล็กกะทัดรัดเหมาะกับการพกพาอย่างมาก แต่ถึงแม้จะเล็กแต่ก็เล็กอย่างพรีเมี่ยมเพราะงานประกอบแข็งแกร่งไม่แพ้เรือธงรุ่นใหญ่ ๆ และด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่ 193 กรัม ก็ได้ความหนักแน่นไม่ก็องแก๊งด้วย แต่จะมีจุดสังเกตเล็กน้อยตรงที่กรอบเครื่องเป็นแบบมันวาวที่เก็บรอยนิ้วมือได้ง่ายไปหน่อย แต่ยังดีที่ทำความสะอาดได้ง่ายอยู่ครับ
Xiaomi 14 Ultra เรือธงรุ่นใหญ่ อลังการระดับ Ultra
มาถึง รีวิว Xiaomi 14 Ultra กันบ้าง รุ่นนี้เราขอพูดถึงด้านหลังก่อนเลยละกัน เพราะเด่นจริงอะไรจริง มาพร้อมกล้องหลังวงกลมโดดเด่นและฝาหลังเป็นหนังวีแกนที่เพิ่มความพรีเมี่ยมและหรูหราได้อารมณ์เหมือนกล้องโปรจาก Leica ได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
ที่โมดูลกล้องหลังของ Xiaomi 14 Ultra จะมาในทรงวงกลมใหญ่เบิ้มอย่างที่บอกไป ตัวกล้องภายในจะมีด้วยกัน 4 ตัว พร้อมคำว่า Leica และเลขสเปคเบื้องต้นระบุไว้เหมือนกัน รอบ ๆ กรอบเลนส์จะยกสูงขึ้นจากฝาหลังพอสมควร มีวงแหวนสีทองที่มีลวดลายซ่อนอยู่ด้วย ให้ความรู้สึกหรูหราขึ้นอีกเยอะ ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเลยว่ารุ่นนี้กล้องไม่ธรรมดาจริง ๆ
พลิกกลับมาดูที่ด้านหน้า Xiaomi 14 Ultra จะแตกต่างไปจากเรือธงหลาย ๆ ที่เราเคยเจอมา และต่างจาก Xiaomi 14 สิ้นเชิง เพราะใช้หน้าจอแบบแบนแต่เพิ่มความพรีเมี่ยมด้วยการใช้กระจกโค้ง 3D แบบ 4 ด้านเข้ามาคลุมหน้าจอเข้าไป ทำให้เราได้ทั้งการแสดงผลเต็มตาและการสัมผัสที่ลื่นไหลไปตามมุมจอเหมือนรุ่นจอโค้ง
พอได้ใช้งานคู่กับรูปแบบการนำทางแบบ Gesture และยังมี Refresh rate ที่ปรับขึ้น-ลง AdaptiveSync Pro ได้ตั้งแต่ 1-120Hz ก็ให้ความลื่นไหลและถูกใจเราอย่างมากเลยจริง ๆ ครับ เป็นมิติใหม่ของหน้าจอที่เราว่า Xiaomi เขา”ทำถึง” จริง ๆ
ในเรื่องการแสดงผลก็ไม่ต้องห่วงเลย Xiaomi 14 Ultra ได้จอ C8 AMOLED ขนาด 6.73″ ใหญ่เต็มตา ความละเอียดระดับ WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) สวยคมชัดแบบสุด ๆ โทนจะออกธรรมชาติ ไม่ได้จี๊ดจ๊าดแบบเกินจริง และอย่างที่บอกว่าพอจอข้างในเป็นจอตรงก็ทำให้เวลาเราดูภาพหรือวิดีโอตัวคอนเทนต์ก็จะส่งตรงมาครบ ไม่ถูกลดทอนไปตามมุมเหมือนพวกจอโค้ง ส่วนความสว่างก็ได้สูงสุด 3000nits เหมือนรุ่นน้องเลยครับ
กรอบตัวเครื่องจะเป็นอลูมิเนียมผิวด้านที่มีการตัดขอบเหลี่ยมนิด ๆ ทำให้จับได้พอดีและเต็มมือและไม่เหลี่ยมเกินไป ตัวปุ่มกดจะอยู่ด้านขวามือทั้งหมด แบ่งเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงปุ่มเรียบยาว ๆ ส่วนปุ่ม Power มีลวดลายเพชรเล็ก ๆ เพิ่มลูกเล่นให้อีกหน่อยครับ
ด้านบนตัวเครื่องจะมีลำโพงและไมโครโฟน ส่วนด้านล่างจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C ลำโพงหลักของตัวเครื่องและช่องใส่ซิมการ์ดครับ
ขนาดและน้ำหนักของ Xiaomi 14 Ultra ก็ถือว่าทำได้ดีครับอยู่ที่ 219.8 กรัม มาตรฐานสำหรับเรือธงยุคนี้ และเราคิดว่าการกระจายน้ำหนักของรุ่นนี้ทำได้ดี ไม่หนักหัวจนเกินไป แต่จุดสังเกตก็มีเหมือนกันคือตัวโมดูลกล้องนั้นใหญ่มาก (กินพื้นที่มาเกือบครึ่งของฝาหลัง) ทำให้เวลาเราถือใช้งานนิ้วชี้เรามักจะไปโดนตรงกรอบเลนส์ตลอด ทำให้ถือมือเดียวไม่มั่นคงเท่าไหร่นักครับ
มาตรฐานความปลอดภัยครบ
เห็นจุดที่แตกต่างกันไปเยอะแล้ว จุดที่เหมือนกันก็มีด้วยคือเรื่องความปลอดภัยและความทนทาน เพราะทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra จะได้ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Optical ที่แตะสแกนได้อย่างรวดเร็ว และระบบสแกนใบหน้าก็ใช้งานร่วมกับกล้องหน้าได้อย่างทันทีทันใดเช่นกันครับ
นอกจากนี้ใครที่เป็นสายลุยหน่อย Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ยังให้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP68 มาเหมือนกันด้วย หมายความว่าหากตัวเครื่องเกิดอุบัติเหตุตกน้ำ (ระดับความลึก 1.5 เมตรไม่เกิน 30 นาที) ก็จะไม่เกิดความเสียหายแน่นอน เป็นมาตรฐานที่ช่วยให้อุ่นใจหากต้องลุยฝน น้ำหกใส่ หรืออุบัติเหตุทางน้ำอย่างที่ว่าไปจริง ๆ ครับ
โดยรวมในเรื่องดีไซน์ของ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม แม้ดีไซน์จะต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังได้ความพรีเมี่ยมสไตล์เรือธงจาก Xiaomi มาเหมือนกัน วัสดุที่หรูหรา งานประกอบที่แน่นหนา รุ่นเล็ก Xiaomi 14 ก็ทำได้ดีด้วยขนาดที่กะทัดรัดและถูกใจสายพกพา ส่วนรุ่น Xiaomi 14 Ultra ก็ให้มาแบบไม่กั๊ก แค่หยิบถือก็ได้อารมณ์ความเป็นเรือธงกล้องเทพแล้วจริง ๆ
กล้องระดับ Next-Generation ของ Leica
แบบมาต่อกันที่เรื่องกล้องที่เป็นไฮไลท์หลักของ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ทั้งคู่มาพร้อมกล้องที่อัปเกรดจากรุ่นก่อนในทุกด้าน ทั้งฮาร์ดแวร์ชุดใหม่หมดและซอฟต์แวร์ที่ปรับแต่งร่วมกับ Leica อย่างลงตัว เรียกว่าเป็น Next-Generation ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งสเปคกล้องของทั้งคู่จะมีดังนี้เลย
สเปคกล้อง Xiaomi 14
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ Light Fusion 900) f/1.6
- 50MP กล้อง Ultra Wide f/2.2
- 50MP กล้อง Tele 3.2x f/2.0
สเปคกล้อง Xiaomi 14 Ultra
- 50MP กล้องหลัก (เซ็นเซอร์ LYT-900 ขนาด 1″) f/1.63 – f/4.0, OIS
- 50MP กล้อง Ultra Wide (เซ็นเซอร์ IMX858) f/1.8
- 50MP กล้อง Tele 3.2x (เซ็นเซอร์ IMX858) f/1.8, OIS
- 50MP กล้อง Periscope 5x (เซ็นเซอร์ IMX858) f/2.5, OIS
อย่างที่เห็นจากสเปคด้านบนทั้งคู่มีสเปคกล้องที่แตกต่างกันอยู่ แต่แน่นอนว่ายังได้ปรับจูนพร้อมกับ Leica ได้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ซึ่งเราก็ขอเจาะลึกในเรื่องกล้องแยกเป็นรุ่น ๆ เลยดีกว่า เพราะฮาร์ดแวร์ของทั้ง 2 รุ่นเป็นชุดใหม่ที่น่าพูดถึงทั้งนั้น
อัปเกรดเลนส์เป็น Leica Summilux
เริ่มที่ รีวิว Xiaomi 14 ก่อนเนาะ รอบนี้ได้พัฒนาเลนส์ไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนจากเลนส์ Leica Summicron f/1.8 ไปเป็นเลนส์ Leica Summilux f/1.6 ซึ่งมีรูรับที่แสงกว้างและทำให้รับแสงได้มากขึ้นถึง 80% นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพโดยใช้เวลาน้อยลงในความสว่างภาพที่เท่ากัน เหมาะสำหรับการถ่ายภาพช่วงเวลาสำคัญที่ต้องใช้ความรวดเร็ว ความแม่นยำและความชัดเจน
เซ็นเซอร์กล้องหลักใหม่ Light Fusion 900 บน Xiaomi 14
นอกจากตัวเลนส์จะอัปเกรดมาเป็น Leica Summilux แล้ว Xiaomi 14 ยังมาพร้อมเซ็นเซอร์ตัวใหม่ Light Fusion 900 ที่มีขนาดใหญ่ 1/1.31″ พร้อมด้วยเทคโนโลยี Dual ISO Fusion รุ่นล่าสุดที่ช่วยให้กล้องสามารถจับภาพช่วงไดนามิกได้กว้างถึง 13.5EV และรองรับความลึกสีแบบเนทีฟ 14 บิต ทำให้สามารถบันทึกภาพที่มีรายละเอียดสูง เผยรายละเอียดแสงและเงาที่ชัดเจนได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย และพอมารวมกับซอฟต์แวร์ที่พัฒนากับ Leica มอบความลงตัวใน 2 ตัวเลือก Leica Vibrant (โทนสดใสและสีจัด)และ Leica Authentic (โทนธรรมชาติและสมจริง) ก็ยิ่งทำให้เราถ่ายภาพได้สนุกขึ้นอีก
กล้อง 75มม. แบบ floating telephoto camera
ในเรื่องการซูม Xiaomi 14 ก็จัดเต็มด้วยการใช้กล้อง Floating telephoto ที่เป็นการปฏิวัติโครงสร้างการออกแบบเลนส์ของสมาร์ทโฟน เพราะนอกจากจะได้คุณภาพการซูมที่ยอดเยี่ยมในระดับ 3.2x แล้ว ยังสามารถเข้าใกล้วัตถุได้ในระดับ 10 ซม.ด้วย เราจึงสามารถใช้กล้องตัวนี้เป็น Tele Macro ได้อีก 1 อย่าง
หรือจะเป็นโหมด Portrait บน Xiaomi 14 ก็ยังมีรูปแบบเลนส์จาก Leica มาให้เราเลือกเปิดใช้งานใน 4 ระยะเหมือนเดิมคือ 35มม./50มม./75มม./90มม.พร้อมฟิลเตอร์จาก Leica ที่มีให้เลือกปรับ อยากได้โทนสีสดก็ปรับเป็น Leica Vivid หรือโทนขาว-ดำก็มี Leica BW มาให้ใช้ด้วย
ด้วยคุณสมบัติของกล้องที่ Xiaomi 14 ให้มาต้องยอมรับว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ ของวงการสมาร์ทโฟนตอนนี้เลยก็ว่าได้ เท่าที่เราลองใช้งานก็ต้องบอกว่า ภาพที่ได้ทำได้ยอดเยี่ยมตามสไตล์ Leica เลย ทั้งโทนของภาพที่ทำออกมาได้ประทับใจ เซ็นเซอร์กล้องหลักใหม่ที่ถ่ายภาพได้รวดเร็ว เก็บแสงได้เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังมีกล้อง Tele 3.2x เข้ามาเสริมการถ่ายภาพระยะไกลได้เป็นอย่างดี จะซูมในระดับ 3.2x – 10x ก็ถือว่าโอเคเลยด้วยครับ และความดีงามที่สุดก็หนีไม่พ้นขนาดตัวเครื่องที่กะทัดรัด หยิบออกมา Snap ได้ง่าย สะดวกสุด ๆ ครับ
เซ็นเซอร์ 1″ ตัวใหม่บน Xiaomi 14 Ultra
ได้เวลาของรุ่นพี่ใหญ่ รีวิว Xiaomi 14 Ultra กันบ้าง รอบนี้ Xiaomi ไม่มีกั๊กจัดชุดที่ดีที่สุดมาให้เริ่มตั้งแต่ กล้องหลักใหม่ที่ใช้เซ็นเซอร์ SONY LYT-900 ขนาด 1″ ใหม่ มีพิกเซลขนาดใหญ่พิเศษ 3.2μm (ไมโครเมตร) ในโหมด 4-in-1 ซึ่งเพิ่มความไวแสงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับ IMX 989 เดิม และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Dual Native ISO Fusion Max ช่วยให้กล้องมีช่วงไดนามิกสูงถึง 14 EV (ค่าแสง) ในช็อตเดียว ทำให้สามารถจับรายละเอียดไฮไลท์และเงาได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รูรับแสงที่ปรับได้จริงแบบ Stepless ตั้งแต่ f/1.63 – f/4.0
แต่แค่เซ็นเซอร์ใหญ่ตัวใหม่คงยังไม่พอกับความ Ultra เพราะ Xiaomi 14 Ultra ยังเพิ่มกลไกรูรับแสงแบบปรับได้ เช่นเดียวกับที่พบในกล้องมืออาชีพ มีรูรับแสงแบบ 6 ใบที่สามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของแสงได้โดยอัตโนมัติเสมือนรูม่านตา สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างราบรื่นระหว่าง f/1.63 – f/4.0 แบบ Stepless ถึง 14 ระดับ ช่วยให้สามารถปรับให้เข้ากับสภาพแสงที่ซับซ้อนและสถานการณ์การถ่ายภาพได้อย่างเหมาะสม เพราะบางครั้งรูรับแสงกว้างที่สุดก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกภาพ อย่างการถ่ายอาหารหรือวัตถุที่ต้องการความคมชัดในหลายมิติ เป็นต้นครับ
ซึ่งที่เราลองใช้งานจริง ต้องบอกเลยว่าฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยมของ Xiaomi 14 Ultra ทั้งเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ระดับ 1″ ทำให้มิติของภาพที่ได้สวยเหมือนกล้องโปรตัวใหญ่ ๆ แถมความใหญ่ของเซ็นเซอร์ก็ยังให้เราซูมแบบ In-Sensor ในระดับ 2x ได้แบบคมชัด โทนของ Leica ทั้ง Vibrant และ Authentic ก็เลือกปรับได้ตามสถานการณ์ของภาพ อยากได้สีสดหรือโทนคมเข้ม อีกทั้งรูรับแสงที่ปรับได้จริงหลายระดับก็ช่วยให้เราได้ภาพที่ดีขึ้นในหลาย ๆ รูปแบบ แถมการมี f/stop แคบหน่อยก็ทำให้เราได้แสงไฟแบบแฉกได้สวยงามอีกด้วยครับ
มีกล้องอีก 3 ตัวระดับแนวหน้าเซ็นเซอร์ IMX858 ทั้งหมด
ส่วนกล้องอีก 3 ตัว Ultra Wide + Tele 3.2x + Periscope 5x ก็ให้มาแบบจัดเต็มใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ IMX858 ทั้งหมดและมีค่ารูรับแสงที่กว้างมากที่ f/1.8, f/1.8, f/2.5 ตามลำดับ ซึ่งทำให้คุณภาพของกล้องตั้งแต่กว้างสุดไปจนถึงซูมไกลนั้นยอดเยี่ยมด้วยฮาร์ดแวร์ระดับสูงทั้งหมด ซึ่ง Xiaomi ก็เคลมเลยว่าด้วยกล้องชุดใหม่นี้ทำให้รุ่นนี้มีช่วงที่ได้แบบจัดเต็มถึง 6 ระยะตั้งแต่ 0.6x>1x>2x>3.2x>5x>10x เลยครับ
Ultra Wide มุมกว้างถึงใจ 122º
ไหน ๆ ก็พูดถึงกล้องเสริมอีก 3 ตัวแล้ว เราขอมาเจาะไปทีละตัวเลยละกันเนาะ รีวิว Xiaomi 14 Ultra เริ่มที่ Ultra Wide 50MP ซึ่งเป็นกล้องที่ใช้ได้ครอบคลุมดีมาก ด้วยระยะเลนส์ที่ 12มม. หรือ 122⁰ กว้างสะใจมาก การเก็บสีและแสงก็ทำได้ยอดเยี่ยมใกล้เคียงกับกล้องหลัก เลยแถมกล้องตัวนี้ยังมี Autofocus ใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้ด้วย
Tele 3.2x ซูมระยะใกล้ดีงามมาก
มาต่อที่กล้องซูมตัวแรกที่มีระยะ Optical Zoom 75มม.หรือ 3.2x เป็นระยะที่เข้าใกล้ระดับกำลังดี ขอชมเลยว่ากล้องตัวนี้ทำได้ดีมาก ขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่พร้อม f/1.8 ที่กว้างพอให้ละลายฉากหลังได้แบบธรรมชาติ แต่เท่านั้นยังไม่พอเพราะตัวกล้องเองยังเป็นแบบ Floating lens ทำให้สามารถถ่าย Tele Macro ใกล้ ๆ ได้อีกหนึ่งตัว
Periscope 5x ดี 10x ได้ สายซูมไกลก็ต้องถูกใจ!
หรือถ้าใครที่ชอบซูมไปไกลอีก กล้องซูมตัวที่ 2 ที่ยกระดับเป็น Periscope ก็จะช่วยให้เราได้ภาพซูมไกล ๆ แบบถูกใจแน่นอน เพราะด้วยระยะ Optical ที่ 120มม.หรือ 5x นั้นเป็นระยะที่เพียงพอต่อการซูมแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้ In-Sensor เข้าไปให้ได้ 240มม. หรือ 10x แบบคมกริ๊บ เรียกว่าหวังผลได้ทุกครั้งที่เราต้องการซูมไกล ๆ เลย
มี AI Zoom ซูมได้สูงสุด 120x!
หรือถ้าอยากซูมแบบไกลสุดไปเลย รีวิว Xiaomi 14 Ultra Ultra ก็สามารถทำได้มากถึง 120x เลยด้วย ซึ่งในช่วงซูมที่หลังจาก 30x ไป จะมี AI คอยคำนวณและปรับภาพเพิ่มเติมให้ภาพคมชัดขึ้นอีกนิด ซึ่งภาพที่ได้ก็ถือว่าพอใช้ได้ในหากซูมสัก 30x – 40x แต่มากกว่านั้น เรายังคิดว่าใช้แค่พอเข้าไปถึงได้ แต่ใช้งานจริงจังไม่ได้อยู่ดี เพราะคือการซูม Digital Zoom ที่อัปสเกลเข้าไปเท่านั้นเองครับ
Snap ภาพ Street ได้ง่ายและเร็วขึ้นด้วย Fastshot
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อการถ่ายภาพสตรีทแบบดั้งเดิมของ Leica บน Xiaomi 14 Ultra ได้เพิ่มโหมด Fastshot ที่สามารถเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็วภายใน 0.8 วินาทีด้วยการแตะปุ่มปรับระดับเสียงสองครั้ง พร้อมถ่ายภาพแรกให้ทันที นอกจากนี้ระยะของภาพยังมีให้เลือกใช้แบบดั้งเดิมตั้งแต่ 23มม. – 135มม. พร้อมช่องมองภาพแบบขยายได้เพื่อจำลองกล้อง rangefinder แบบคลาสสิก อีกทั้งโหมดนี้ยังรองรับการโฟกัสอัตโนมัติและ “การโฟกัสตามโซน (zone focusing)” แบบ Manual เพื่อให้เราบันทึกทุกช่วงเวลาได้แบบทันทีทันใดด้วย
Macro ได้ 3 ระยะ ถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ไม่ต้องห่วง
ขอย้อนมาพูดเรื่อง Macro อีกสักนิด อย่างที่บอกว่ากล้องของ Xiaomi 14 Ultra ทั้ง Ultra Wide, Tele 3.2x และ Periscope 5x นั้นสามารถใช้งานเป็นกล้อง Macro ได้หมด เท่ากับว่าบนรุ่นนี้เราจะถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 3 ระยะเลยทีเดียว จะเป็นระยะเข้าใกล้ 5ซม.ของกล้อง Ultra Wide, ระยะ 10ซม.ของกล้อง Tele หรือจะไกลหน่อยกับระยะ 30ซม.ของกล้อง Periscope ก็ได้ อันนี้แจ่มจริงครับ!
Master Portrait ถ่ายคนได้สวยขึ้นด้วยโทนของ Xiaomi
ถ่ายวิวไปเยอะแล้ว มาถึงคราวต้องถ่ายคนกันบ้าง แน่นอนว่าจะเป็นเรือธงกล้องเทพทั้งทีจุดนี้คงทิ้งไม่ได้ Xiaomi 14 Ultra จึงได้โหมด Portrait ให้มีอัลกอริธึมชื่อ “Master Portrait” ที่สามารถถ่ายภาพบุคคลในสภาพย้อนแสง โดยเน้นความลึกของภาพและการฟื้นฟูโทนสีผิวด้วยโบเก้ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคลในที่ย้อนแสง แสงเย็น และสถานการณ์ที่มีแสงน้อย หรือเทียบง่าย ๆ คืออารมณ์ของภาพจะออกมาสดใสกว่า แต่ถ้าใครที่ชอบความคมเข้มสไตล์ Leica ก็ยังสามารถเลือกแบบ Leica Portrait แบบคลาสสิกได้อยู่เช่นกันครับ
ส่วนระยะของภาพ Xiaomi 14 Ultra ก็ยังสามารถเลือกได้เป็น 4 เลนส์เสริมของ Leica ได้เหมือนเดิมคือ Documentary (35มม.), Swirly bokeh (50มม.), Portrait (75มม.) และ Soft focus (90มม.) แต่ถ้าอยากได้แบบใส่คู่กับฟิลเตอร์ Leica เอง จะปรับไปที่ Standard แล้วเลือกเป็นตามระยะ 23มม./35มม./50มม./75มม.ก็ได้เช่นกันครับ ซึ่งภาพที่ได้จากโหมด Portrait และ Master Portrait ใหม่ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม สมกับที่มีการปรับแต่งมาใหม่จริง ๆ โทนมีความสดใสขึ้น ระยะที่มีให้เลือกใช้ก็ถ่ายได้ดีทั้งหมดด้วย
รีวิว Xiaomi 14 Ultra กับ Photography Kit เปลี่ยนให้เป็นกล้อง
นอกจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Xiaomi 14 Ultra แล้ว อุปกรณ์เสริมรอบนี้ก็จัดเต็มมาก ๆ ด้วย Photography Kit หรือชุดถ่ายภาพที่จะมาเปลี่ยนตัวเครื่องให้เป็นกล้องจริง ๆ ไปซะเลย แต่อันนี้ต้องบอกก่อนว่าชุดนี้จะได้มาเฉพาะคนที่ Pre-Order เท่านั้นและของมีจำนวนจำกัด ซึ่งภายในชุดนี้จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ดังนี้ครับ
เคสที่มีดีไซน์แบบเดียวกับตัวเครื่อง แต่สีสันจะโดดเด่นขึ้นมาอีกด้วยกรอบสีเทาสัมผัสดีตัดกับฝาหลังหนังที่มีพื้นผิวคล้ายผ้าด้วย ให้ความรู้สึกที่ดีมากเวลาจับถือครับ
มีตัว Grip ที่แยกออกจากตัวเคสได้ ภายในจะมีแบตเตอรี่ความจุ 1500mAh มาให้ด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยคือปุ่มกดที่ช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพได้เหมือนกล้องจริง ๆ ที่เดี๋ยวเราจะอธิบายเพิ่มเติมอีกทีเนาะ
มีตัววงแหวนเสริมอีก 2 ชิ้น ชิ้นแรกเป็นสีส้มที่เอาไว้ตกแต่งเราสามารถถอดออกเพื่อสลับกับสีเงินที่ให้มาได้เพื่อเพิ่มความหล่อตามสีแบรนด์ของ Xiaomi ส่วนอีกชิ้นจะเป็นอะแดปเตอร์ที่สามารถใส่กับฟิลเตอร์หน้า 67 มม.ได้จริง ๆ ครับ
และสุดท้ายคือสายคล้องกับเอกสารคู่มือที่มีโลโก้ของ Xiaomi อยู่ด้วยครับ
เบ็ดเสร็จอุปกรณ์ภายในกล่องของ Photography Kit ก็จะมีทั้งหมด 6 อย่างดังนี้
- เคสหนัง
- Grip
- วงแหวนอะแดปเตอร์ 67 มม.
- วงแหวนตกแต่งสีส้ม
- เอกสารคู่มือ
- สายคล้องกล้อง
ซึ่งพอรวมร่างกันแล้วจะเปลี่ยนร่าง Xiaomi 14 Ultra ให้กลายเป็นกล้องโปรไปเลยครับ และดูหล่อมาก ถ้าไม่ได้บอกว่านี่คือสมาร์ทโฟนเรือธง ไม่ใครดูออกแน่นอน คงคิดว่าเป็นกล้องที่ใส่ฟีเจอร์ของมือถือไฮเอนด์ไว้แน่นอน
ตัว Grip จะมาพร้อมแบตเตอรี่ 1500mAh ในตัว ซึ่งจะเชื่อมต่อผ่าน Xiaomi 14 Ultra ผ่านพอร์ต USB-C และด้วยความที่ตัว Grip นั้นมีแบตฯมาด้วย เมื่อเราเชื่อมต่อกันปุ๊บจะมี Pop Up แสดงเปอร์เซนต์แบตฯททั้งของมือถือและ Grip แสดงขึ้นมาและเริ่มชาร์จเข้าทันทีเลย
ส่วนการใช้งานด้านถ่ายภาพต้องบอกว่าใช้งานได้จริงและมีประโยชน์มาก เพราะนอกจากจะทำให้เราจับเครื่องได้ถนัดพร้อมถ่ายภาพแล้ว ยังมีปุ่มกดจริง ๆ มาให้ใช้งานทั้ง ปุ่มชัตเตอร์แบบ 2 จังหวะ, ปุ่มบันทึกวิดีโอ, ปุ่มเลื่อนซูม หรือตัวเลื่อนที่สามารถตั้งค่าได้ว่าจะทำงานอะไร
รีวิว Xiaomi 14 Ultra อย่างในที่นี้เราลองตั้งเป็นปรับค่ารูรับแสงดู ด้วยความที่กล้องหลักปรับได้เยอะ ยิ่งถ้าเราใช้งานในโหมด Pro ที่ปรับได้มากถึง 14 ระดับจะได้อารมณ์เหมือนกล้องจริง ๆ มากขึ้นไปอีก ถ้าปกติไม่ได้ใช้ Grip เราก็ต้องไปแตะที่หน้าจอเพื่อเปลี่ยนเองแบบ Manual แต่พอมาแบบนี้สะดวกขึ้นเยอะครับ
ถือว่าเป็นชุดอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจมาก สำหรับสายถ่ายภาพเพราะนอกจากปุ่มทางลัดต่าง ๆ แล้ว การที่มีปุ่มชัตเตอร์จริง ๆ แบบ 2 จังหวะมาให้ใช้จริง ก็ทำให้เราอยากถ่ายรูปมากขึ้น Snap ได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าใส่สายคล้องแล้วห้อยข้อมือไปนี่ฟิลเหมือนกล้องจริง ๆ หยิบขึ้นมาเล็งถ่ายได้สนุกขึ้นมากครับ
แต่แน่นอนว่าพอรวมร่างกันแบบครบชุดแบบนี้ก็อาจจะกลายเป็นกล้องพกพาสักตัวไปจริง ๆ ข้อสังเกตจึงมาอยู่ที่เราจะพกแบบใส่กระเป๋าในทรงมือถือได้ยากขึ้นนั่นเองครับ
Master Videography วิดีโอระดับสูงด้วย 14EV High Dynamic Range
ส่วนเรื่องวิดีโอ Xiaomi 14 Ultra ก็ไม่น้อยหน้ารุ่นไหน ๆ เพราะด้วยเซ็นเซอร์ตัวใหม่ LYT-900 ขนาด 1″ รองรับเทคโนโลยี Dual ISO Fusion Max และสามารถถ่ายวิดีโอได้แบบ HDR สูงสุด 4K/30fps ทำให้วิดีโอมีช่วงไดนามิกระดับภาพยนตร์สูงถึง 14EV เมื่อถ่ายภาพฉากที่มีคอนทราสต์สูงในวิดีโอ เราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปิดรับแสงที่มากเกินไปหรือภาพซ้อนที่เกิดจากอัลกอริธึม HDR แบบหลายเฟรมอีกต่อไป
ถ่ายวิดีโอแบบ SDR สูงสุด 8K/30fps ในทุกกล้อง
หรือถ้าไม่เน้นแบบ HDR บน Xiaomi 14 Ultra ยังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดได้ถึง 8K/30fps และทีเด็ดคือเราสามารถถ่าย 8K ได้ในทุกกล้องเลยด้วย แต่มีข้อสังเกตว่ายังไม่สามารถสลับกล้องระหว่างถ่ายได้ที่ความละเอียดนี้ ซึ่งถ้าเราอยากได้สลับกล้องไปด้วยบนความละเอียดสูง 4K/60fps ให้คุณได้ครับ!
มีไมโครโฟนมาให้ 4 ตัวเรื่องเสียงหายห่วง
ภาพที่ดีก็ควรมากับเสียงที่ใช่ด้วย Xiaomi 14 Ultra นั้นมาพร้อมกับไมโครโฟน 4 ตัวที่วางตำแหน่งไว้รอบเครื่องอย่างดี สามารถเก็บเสียงได้ดีขึ้น และให้เสียงเซอร์ราวด์ 3D สมจริงขณะเปิดฟัง นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการรับทิศทาง ทำให้เราสามารถเลือกการบันทึกวิดีโอทั้งจากด้านหน้า ด้านหลัง หรือรอบทิศทางได้ นอกจากนี้โหมดวิดีโอของ Xiaomi 14 Ultra ยังให้เราสามารถเปิดใช้งานคุณสมบัติการติดตามแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งทิศทางการจับเสียงจะเชื่อมต่อกับจุดโฟกัสของกล้อง ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพการบันทึกในสภาพแวดล้อมกลางแจ้งได้มากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก
เซลฟี่สวยด้วยกล้องหน้า 32MP
มาปิดท้ายเรื่องกล้องกันที่กล้องหน้าเซลฟี่ Xiaomi 14 Ultra ให้ความละเอียดกล้องหน้ามาที่ 32MP เลย สวยคมชัดแน่นอน มีฟีเจอร์ Beautify ให้เลือกปรับความฟรุ้งฟริ้งของใบหน้าเพิ่มเติมได้ด้วย ส่วนโหมดการใช้งาน Portrait ก็มีมาให้เลือกละลายหลังและวิดีโอกล้องหน้ารอบนี้ทำได้สูงสุด 4K/60fps แล้วนะจ๊ะ
โดยรวมในเรื่องกล้องของทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมสมกับที่คุยว่านี่คือ Next-Generation ของ Leica บนมือถือจริง ๆ ครับ ทั้ง Optic ที่อัปเกรดมาเป็น Leica Summilux ฮาร์ดแวร์กล้องทุกตัวที่ความละเอียดสูงและใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ระดับแนวหน้า ซอฟต์แวร์ที่ปรับจูนมาได้ลงตัวขึ้นทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ที่ขาดไม่ได้คงเป็นอุปกรณ์เสริมอย่าง Photography Kit ของรุ่น Ultra ที่ช่วยเปลี่ยนการใช้งานกล้องให้โปรยิ่งขึ้น เป็นอีกครั้งที่เราคิดว่าทำได้ถึงใจคนที่ชอบถ่ายภาพมาก ๆ Xiaomi 14 Series ในครั้งนี้!
ประสิทธิภาพจัดเต็มด้วยชิป Snapdragon 8 Gen 3
มาต่อกันในเรื่องประสิทธิภาพทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ใช้ชิปเซ็ตตัวล่าสุด Snapdragon 8 Gen 3 เหมือนกัน ด้วยการออกแบบ CPU แบบฟิวชั่น 1+5+2 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ CPU ขึ้น 32% และประสิทธิภาพ GPU ขึ้น 34% ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีประสิทธิภาพกราฟิกที่สูงที่สุด และสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน การเล่นเกม หรือการสร้างสรรค์อย่างมืออาชีพก็รับประกันประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและมีเสถียรภาพ
ส่วนเรื่องความจุรุ่นที่ขายในไทยจะมีความจุเดียวเลยคือ 512GB (UFS 4.0) ส่วน RAM จะแตกต่างกันนิดหน่อย Xiaomi 14 ได้มา 12GB ส่วน Xiaomi 14 Ultra ได้มา 16GB เป็นแบบ LPDDR5X ทั้งคู่ เพื่อให้เห็นภาพความแรงของชิปเซ็ตใหม่และหน่วยความจำระดับสูง เราเลยลองทดสอบผ่านแอป AnTuTu Benchmark v.10 ให้เห็นภาพคร่าว ๆ กันหน่อย โดย AnTuTu Benchmark จะออกมาดังนี้ครับ
- Xiaomi 14 = 2064599 คะแนน
- Xiaomi 14 Ultra = 1987600 คะแนน
ส่วน GeekBench 6 ทั้ง 2 รุ่นก็ทำคะแนนได้สูงมาก ๆ ในกลุ่ม Android ด้วยกัน ผลออกมาดังนี้ครับ
- Xiaomi 14 = Single-Core 2251 คะแนน, Multi-Core 6927 คะแนน
- Xiaomi 14 Ultra = Single-Core 2218 คะแนน, Multi-Core 6784 คะแนน
เล่นเกมแรง ๆ ได้หมด เรือธงขั้นสุดแบบนี้
เห็นคะแนนอันดับต้น ๆ ของตารางไปแบบนี้แล้ว ถ้าไม่ลองเล่นเกมทดสอบประสิทธิภาพดูก็คงไม่ได้เนาะ วันนี้เราทดสอบด้วย 3 เกมฮิตอย่าง Asphalt 9, Call of Duty และ Genshin Impact ครับ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มาดูกันในแต่ละเกมเลย
เล่น Asphalt 9 บน Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra
เริ่มที่เกมประจำของเราอย่าง Asphalt 9 ก่อนเลย จริง ๆ เกมนี้ถือว่ามีกราฟิกสวยอลังการอยู่ในปี 2024 แบบนี้ ทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra จะปรับระดับกราฟิกได้ที่ High Quality ร่วมกับ 60fps ได้ ในการเล่นจริงก็พบว่าตัวเฟรมเรตลื่นไหลดีมาก ทั้งเครื่องเล็กและเครื่องใหญ่ มอบประสบการณ์ความแรงได้ไม่แพ้กันเลยครับ!
เล่น Call of Duty บน Xiaomi 14 Ultra
หรือจะเป็นเกมแนวยิง ๆ อย่าง Call of Duty ก็ทำได้ดีไม่แพ้กันเกมนี้จะมีการตั้งค่าที่หลากหลายหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าระดับเรือธงที่ใช้ชิป Snapdragon 8 Gen 3 แบบนี้ ก็ต้องปรับได้สูงสุดเท่าที่เรือธงฝั่ง Android จะปรับได้ตอนนี้ คือกราฟิกระดับ Max คู่กับเฟรมเรต Max (60fps) หรือจะเลือกไปที่กราฟิก Medium + เฟรมเรต Ultra (สูงสุด 120fps) ก็ได้เช่นกัน ในการทดสอบของเราเลือกปรับไปที่ Max+Max เพื่อให้ได้ภาพที่สวยที่สุด ซึ่งก็สวยถูกใจมาก ๆ ทั้งการสะท้อนของเอฟเฟกต์ Texture ของปืนหรือฉากที่อลังการ บนเฟรมเรต 60fps แบบนิ่ง ๆ
เล่น Genshin Impact บน Xiaomi 14 Ultra
ปิดท้ายที่ Genshin Impact เกมที่ใช้เป็น Benchmark สำหรับวัดประสิทธิภาพของการเล่นเกมในยุคนี้ Xiaomi 14 Ultra ก็จัดการตรงนี้ได้ดีมาก เราเลือกปรับกราฟิกไปที่ระดับสูงสุดพร้อมเปิด 60fps เลย (ปิด Motion Blur) เมื่อเล่นจริง ๆ ก็ทำได้ดีเลย เฟรมเรตนิ่งแบบสุด ๆ แถมการจัดการความร้อนก็ทำได้ดีเลย อยู่ในระดับอุ่น ๆ เท่านั้น ทำให้ตัวเกมรันได้อย่างราบรื่นไม่เจออาการเฟรมดรอปหนัก ๆ ให้เห็นระหว่างเกมเลยด้วย!
แบตเตอรี่ใช้งานได้ดีทั้งคู่
Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพียงคือ 4610mAh และ 5000mAh ตามลำดับ ซึ่งเท่าที่ลองใช้งานมาก็ถือว่าใช้งานได้ดีครับ ในการทำงานทั่วไป เล่นโซเชียล ดูคอนเทนต์ เล่นเกมก็เอาอยู่ เพราะได้ระบบจัดการแบตเตอรี่ไฟกระชาก (Xiaomi Surge Battery Management System) และยังมีชิปเซ็ตการจัดการแบตเตอรี่ Xiaomi G1 มอบการป้องกันที่ครอบคลุมแบบเรียลไทม์และการซ่อมแซมเซลล์แบตเตอรี่อย่างชาญฉลาดจึงช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้นนั่นเอง
รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 90W HyperCharge แต่…
ส่วนระบบการชาร์จทั้งคู่ก็รองรับสูงสุดถึง 90W HyperCharge เหมือนกันในแบบสาย ซึ่งจะมีชิปเซ็ตการชาร์จ P2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จและลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ชาร์จได้เร็วและเสถียรมากยิ่งขึ้น แต่…ในกล่องไม่มีที่ชาร์จแถมมาให้ด้วย เราเลยไม่ได้ลองความเร็วระดับนั้นจริง แต่โชคดีที่ทั้งคูารองรับระบบชาร์จมาตรฐาน PD หรือมาตรฐานการชาร์จเดิมของ Mi Turbo Charge ด้วย ทำให้สามารถชาร์จแบบสายได้เร็วสูงสุด 65W เพียงพอต่อการใช้งานเหมือนกันครับ หากมีที่ชาร์จแนวนี้อยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อเพิ่มก็ได้
โดยรวมในเรื่องประสิทธิภาพของ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ก็ถือว่าทำได้น่าประทับใจมากทั้งในเรื่องความเร็วแรงของชิปเซ็ตใหม่ที่ทำงานรวมถึงใช้งานหนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล ใช้งานได้เป็นอย่างดีและระบบชาร์จเร็วที่รองรับหลากหลายไม่ใช่แค่ต้องใช้อุปกรณ์ของ Xiaomi เท่านั้น จะชาร์จผ่านชุดชาร์จ PD มาตรฐานก็ได้ครับ
ระบบปฏิบัติการใหม่ HyperOS บน Android 14
มาปิดท้าย รีวิว Xiaomi 14 | 14 Ultra เรื่องประสบการณ์การใช้งานกับซอฟต์แวร์กันครับ ถือเป็น 2 รุ่นแรกที่มาพร้อม HyperOS ใหม่ของ Xiaomi ซึ่งครอบทับมาบน Android 14 อีกที เป็นการรีแบรนด์ซอฟต์แวร์ให้น่าใช้ยิ่งขึ้น และวางรากฐานให้อุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ในอนาคตด้วย
ซึ่ง Xiaomi HyperOS เป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ออกแบบมาสำหรับ Ecosystem อัจฉริยะ “Human x Car x Home” โดยมุ่งเน้นในการเพิ่มขีดความสามารถของฮาร์ดแวร์ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ไหลลื่น และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยมีคุณสมบัติในการจัดการทรัพยากรฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ รองรับการประมวลผลแบบกระจาย ระบบไฟล์มีน้ำหนักเบามากเพื่อประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ และความเข้ากันได้ที่เหนือกว่า
โดยหน้าตารวม ๆ อาจยังไม่แตกต่างจาก MIUI เดิมมากนัก ซึ่งน่าจะคุ้นเคยสำหรับผู้ใช้ Xiaomi รุ่นก่อน ๆ มา ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แต่อย่างที่บอกว่าจุดเด่นของ HyperOS ใหม่ก็คือการจัดการระบบภายใน ที่เราคิดว่าลื่นไหลดีมาก นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องการปรับแต่งที่ทำได้หลากหลายขึ้นมาก อย่างในหน้า Lockscreen หรือพวกธีมที่เราว่าเป็นจุดเด่นเลยล่ะ
ราคาและโปรโมชั่น Xiaomi 14 | Xiaomi 14 Ultra
Xiaomi 14 Series เปิดตัวในบ้านเรามาในความจุเดียวเลยคือ 512GB โดยมีราคาดังนี้เลยครับ
- Xiaomi 14 (12GB+512GB) ราคา 29,990 บาท
- Xiaomi 14 Ultra (16GB+512GB) ราคา 40,990 บาท
สรุปแล้ว “นี่คือสองเรือธงที่มาพร้อมกล้องถ่ายภาพระดับ Next-Generation ของ Leica อย่างแท้จริง!”
สรุปแล้ว Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ก็ถือเป็นมือถือเรือธงกล้อง Leica สองรุ่นใหม่ประจำปีนี้ที่อัปเกรดเรื่องการถ่ายภาพมาได้ถึงใจสมการรอคอยจริง ๆ ทั้ง Xiaomi 14 ที่ยกเอาความสามารถกล้อง Leica ใน 3 ระยะมาไว้ในขนาดที่คล่องตัวไว้ใจได้ในทุกสถานการณ์ ฮาร์ดแวร์ชุดใหม่ที่เก่งขึ้น ทำงานได้ดีกว่าเดิม ส่วนพี่ใหญ่ Xiaomi 14 Ultra ก็มาขายไทยเสียที มาทั้งทีก็ไม่มีกั๊กด้วยกล้องหลัง 4 ตัวที่ครบช่วงที่สุดในเวลานี้ และแต่ละตัวก็โหดหมดไม่ไว้หน้าคู่แข่งรุ่นไหน ๆ แถมยังมีชุด Photography Kit มาให้ใช้คู่กันแปลงร่างเป็นกล้องจริง ๆ ได้อีก แต่เรื่องกล้องก็ไม่ใช่จุดเด่นเดียวของ Series นี้เพราะทั้งสเปคและดีไซน์ที่ให้มาก็เรียกว่าอัดแน่นจนเป็นเรือธงครบเครื่องใน 2 ขนาดได้ไม่ยากเลยจริง ๆ ใครที่อยากได้มือถือที่ถ่ายรูปได้สนุก โทนเท่ ๆ เราว่าไม่มีรุ่นไหนจะเหมาะเท่า 2 รุ่นนี้อีกแล้ว มีให้เลือก 2 ขนาดด้วย ทำถึง!