Smart Review
Review : ZTE Axon ดีไซน์งามหรู, กล้องหลังคู่, มีสเแกนนิ้วมือและม่านตา
ZTE Axon สมาร์ทโฟนดีไซน์สุดหรูหรา หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว Full HD มาพร้อมสเปคจัดเต็มด้วยชิปประมวลผล Snapdragon 810 Octa-core ความเร็วสูงสุด 2GHz และแรม 3GB ชูจุดเด่นด้วยกล้องหลังคู่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซลเก็บทุกรายละเอียด แล้วเสริมอีกตัวด้วยกล้อง 2 ล้านพิกเซล เก็บระยะลึกตื้นเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด
สรุปสเปค ZTE Axon (A2016) |
- ราคาเปิดตัว 17,900 บาท (มกราคม 2559)
- ขนาดตัวเครื่อง 143 x 77 x 9.8 มม.
- น้ำหนัก 170 กรัม
- 3G : 850/900/1900/2100 MHz
- 4G : 800/900/1800/2100 MHz
- 2 ซิมการ์ด (Nano SIM + Nano SIM)
- หน้าจอแสดงผล 5.5 นิ้ว OGS 1080p
- รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop
- ชิปเซ็ต Qualcomm MSM8994 Snapdragon 810
- ซีพียู Octa-core (Quad-core 1.5 GHz Cortex-A53 และ Quad-core 2 GHz Cortex-A57)
- จีพียู Adreno 430
- แรม 3 GB
- ความจำภายในตัวเครื่อง 32GB เพิ่มได้ด้วย microSD card สูงสุด 128GB (ใส่ช่องซิม 2)
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล และแฟลช Dual LED
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- รองรับ Wi-Fi, Bluetooth 4.0
- รองรับระบบ GPS, A-GPS
- แบตเตอรี่ 3,000 mAh ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ รองรับระบบชาร์จเร็ว
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
- ปลดล็อคหน้าจอได้ด้วยการสแกนม่านตา
แกะกล่อง ZTE Axon (Unboxing) |
ZTE Axon มาในกล่องกระดาษสีขาวเรียบ ๆ โดยด้านหน้ากล่องจะมีช่องขนาดเท่ากับโมดูลกล้องหลังเพื่อจะโชว์จุดเด่นว่ารุ่นนี้มีกล้องหลัง 2 ตัว โดยไม่ต้องแกะกล่องดู
อุปกรณ์ภายในกล่อง ได้แก่
- ตัวเครื่อง ZTE Axon สีทอง พร้อมแบตเตอรี่ในตัว 3,000mAh
- อะแดปเตอร์สำหรับแปลงไฟ
- สายเคเบิล micro USB
- หูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม.
- เข็มสำหรับจิ้มช่องถาดใส่ซิม
- คู่มือใช้งาน
รุ่นนี้รองรับชาร์จเร็ว ตัวอะแดปเตอร์จึงเป็นรุ่นที่จ่ายไฟออกหรือจ่ายไฟเข้าชาร์จตัวเครื่องโทรศัพท์ได้สูงสุด 1.5A
ดีไซน์ ตัวเครื่อง และหน้าจอแสดงผล |
เห็นชื่อกับสเปคแล้วอาจเกิดความสงสัยกันเล็กน้อย ขออธิบายว่า ZTE Axon หรืออีกชื่อก็คือ ZTE Axon Elite ซึ่งเป็นชื่อรุ่นสำหรับทำตลาดในบางประเทศ แต่ในไทยเรียก Axon เฉย ๆ เพราะว่านำเข้ามาเพียงรุ่นเดียว และอีกตัวก็เป็นรุ่นเล็กในชื่อ Axon mini
ZTE Axon มีดีไซน์ที่ดูสวยงามหรูราด้วยสีทอง วัสดุหลักเป็นโลหะอลูมิเนียมอัลลอยด์ โดยส่วนบนกับส่วนล่างเป็นพลาสติกที่มีการดีไซน์ให้ความรู้สึกเหมือนหนัง ซึ่งกว่าจะออกมากลมกลืนกันทั้งตัวเครื่องผ่านกระบวนการผลิตกว่า 320 ขั้นตอน
ระหว่างส่วนที่เป็นโลหะอลูมิเนียมกับพลาสติกคล้ายหนัง จะมีช่องว่างระหว่างกันเล็กน้อย และข้อดีของพลาสติกทำให้รุ่นนี้ไม่มีเส้นเสาอากาศคาดเป็นแถบยาว ๆ ด้านหลังเหมือนหลาย ๆ รุ่นในตลาด
ตัวเครื่องของ Axon ยังถูกออกแบบให้ด้านหลังโค้งเว้าเข้าหาขอบตัวเครื่องเพื่อให้ดูเหมือนกับว่าตัวเครื่องมีความบางขึ้น โดยแผงด้านหน้าบริเวณเหนือหน้าจอและล่างหน้าจอยังมีดีไซน์ลวดลายด้วย ขอเรียกว่าลายลูกไม้แล้วกัน ^^
ขอบกระจกของรุ่นนี้มีความโค้งมนหรือที่เรียกกันว่า 2.5D และใช้เทคโนโลยี OGS ซึ่งเป็นการผสานระหว่างกระจกภาพและส่วนแสดงผลไว้เป็นชิ้นเดียว ช่วยให้ได้หน้าจอที่บางมากกว่าหน้าจอทั่ว ๆ ไป โดยในรุ่นนี้มีขนาดหน้าจอแสดงผล 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 1920 พิกเซล ความหนาแน่นของจุดพิกเซลประมาณ 401 พิกเซลต่อนิ้ว ซึ่งคมชัดอย่างแน่นอน
เหนือหน้าจอมีเลนส์กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์วัดแสง โดยช่องลำโพงสำหรับเสียงสนทนาซ่อนอยู่ในลายลูกไม้
ล่างหน้าจอมีปุ่มนำทางแบบสัมผัส 3 ปุ่ม มีไฟสว่าง โดยปุ่มตรงกลางที่เห็นเป็นวงกลมนั้นเป็นปุ่มโฮม ส่วนอีก 2 ปุ่มซ้าย-ขวา จะเป็นปุ่มจุดเดียว สำหรับเป็นปุ่มย้อนกลับหรือปุ่มเมนู ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ ZTE ที่ทำปุ่มแบบจุดเพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกสลับการทำงานตามความถนัดได้ในเมนูตั้งค่า นอกจากนี้ลำโพงของรุ่นนี้ก็ถูกซ่อนอยู่ในลายลูกไม้ด้านล่างหน้าจอนั่นเอง
ขอบด้านบนตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ขอบด้านล่างมีพอร์ตเชื่อมต่อ micro USB สำหรับชาร์จแบตหรือถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายเคเบิล และไมโครโฟน
ขอบด้านขวามีปุ่ม Power สำหรับปิด/เปิดเครื่อง หรือกดปิด/เปิดหน้าจอ
ขอบด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง และช่องถาดใส่ซิม ซึ่งรุ่นนี้รองรับซิมขนาด Nano SIM ทั้ง 2 ช่อง หรือจะใส่ microSD card แทนช่องซิม 2 ก็ได้
ด้านหลังมีเลนส์กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กับ 2 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED จำนวน 2 ดวง และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งฝาหลังไม่สามารถถอดออกเองได้ โดยภายในจะมีแบตเตอรี่ขนาดความจุ 3,000mAh รองรับระบบชาร์จเร็วด้วย
อินเตอร์เฟซและฟังก์ชั่นการใช้งาน |
ZTE Axon รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop ในหน้าจอหลักสามารถลากวางไอคอนแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์, วิดเจ็ตต่าง ๆ หรือเพิ่ม/ลบหน้าโฮมได้ และจะไม่มีในส่วนของ App Drawer ดังนั้นแอพพลิเคชั่นตัวทุกจะถูกจัดเรียงไว้ในหน้าโอมทั้งหมด
ลากแถบด้านบนลงมาจะเป็นในส่วนของการแจ้งเตือน และแผงควบคุมการทำงานต่าง ๆ โดยไอคอนต่าง ๆ ในส่วนนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้
Task Manager เป็นตัวที่มากับ Android สำหรับเลือกสลับการใช้งานไป-มาระหว่างแอพพลิเคชั่นแต่ละตัวที่เปิดใช้งานอยู่ หรือจะเปิดการใช้งานก็ได้เช่นกัน
ZTE Axon รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ใช้งานได้ทุกเครือข่ายในไทยทั้ง 3G และ 4G โดยต้องเลือกว่าจะให้ซิมใดใช้งาน 3G/4G ส่วนอีกซิมก็จะสลับไปใช้งาน 2G สำหรับการโทรเท่านั้น
การเชื่อมต่อไร้สายรองรับ Wi-Fi 802.11 b/g/n, Wi-Fi Direct, Hotspot และ Bluetooh 4.0, A2DP นอกจากนี้ก็มี NFC ด้วย
แถบบาร์ด้านบนสามารถเลือกแสดงเปอร์เซ็นแบตเตอรี่, ความเร็วเครือข่าย และปรับสีสันการแสดงผลของหน้าจอได้
ปุ่มกดนำทางสามารถเลือกสลับระหว่างปุ่มย้อนกับกับปุ่มเมนู (ปุ่มรายการ) ได้ เผื่อว่าใครถนัดซ้ายหรือขวาก็เลือกได้ตามสะดวก
ฟีเจอร์การใช้งานท่าทางบนหน้าจอ
- ปิดแอพ : ใช้ 3 นิ้วแตะหน้าจอแล้วเลื่อนลงด้านล่างเพื่อปิดการทำงานแอพ
- สลับแอพ : ใช้ 3 นิ้วแตะหน้าจอแล้วเลื่อนไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อสลับไปใช้งานแอพก่อนหน้า
- จับภาพหน้าจอ : ใช้ 3 นิ้วแตะหน้าจอแล้วหุบเข้าหากัน
ฟีเจอร์การใช้ท่าทางการเคลื่อนไหว
- โทรอัตโนมัติ : เมื่อดูรายชื่อติดต่ออยู่ สามารถยกโทรศัพท์แนบหูเพื่อโทรออกไปยังเบอร์นั้นได้ทันที
- ตอบกลับอัตโนมัติ : เป็นการรับสายโทรเข้าโดยการยกโทรศัพท์แนบหู โดยไม่ต้องกดปุ่มรับสาย
- โหมดกระเป๋า : เมื่อโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าจะมีการเปิดเสียงดังสุดและสั่นแรงสุดหากมีสายโทรเข้า
- เลื่อน/หยุดปลุก : เมื่อเสียงปลุกดัง สามารถคว่ำหน้าจอเพื่อปิดการปลุก หรือลูบหน้าจอเพื่อเลื่อนการปลุกได้
- เปลี่ยนเป็นผู้รับ : ยกแนบหูเพื่อสลับจากการเปิดลำโพงโทรคุยไปเป็นเสียงจากลำโพงแนบหูแทน
- เขย่า : เขย่าโทรศัพท์เพื่อเรียกใช้งานแอพไฟฉาย หรือเครื่องคิดเลข
Mi-POP
เป็นการเปิดใช้งานปุ่มนำทางที่ลอยอยู่บนหน้าจอในทุกหน้าจอ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสำหรับการใช้งานมือเดียว สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปุ่มเริ่มต้นที่ลอยอยู่นั้นเป็นปุ่มใด โดยปุ่มย้อนกลับน่าจะใช้งานบ่อยที่สุด
ระบบสแกนม่านตา
เป็นการใช้กล้องหน้าเพื่อถ่ายภาพบริเวณตาของเราแล้วจัดเก็บเป็นไอดี (ID) เพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งระบบนี้ใช้เทคโนโลยีของ Sky eye และจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงานด้วย ซึ่งระบบนี้สามารถใช้ปลดล็อคเครื่อง, การเข้าใช้งานแอพต่าง ๆ หรือใช้ยืนยันการเข้าใช้งาน Mi-Assistant
สำหรับระบบนี้จะรองรับการจดจำเพียง 1 ไอดีเท่านั้น เพราะตาคนเรามีเพียง 2 ข้าง จะไม่เหมือนกับลายมือถือที่สามารถจัดเก็บและจดจำได้หลายนิ้ว ซึ่งจากการใช้งานค่อนข้างยุ่งยาก ต้องอยู่นิ่ง ๆ และใช้เวลาในการสแกนเพื่อประมวลผลค่อนข้างนาน
ระบบสแกนลายนิ้วมือ
สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง สามารถจดจำได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ใช้เพื่อปลดล็อคเครื่อง, การเข้าใช้งานแอพต่าง ๆ หรือใช้ยืนยันการเข้าใช้งาน Mi-Assistant เช่นเดียวกับระบบสแกนม่านตา แต่ลายนิ้วมือจะสะดวกและทำงานได้รวดเร็วกว่ามาก
นอกจากนี้แล้วตัวเซ็นเซอร์ยังสามารถแตะแล้วทำงานได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอก่อน ก็ช่วยให้ปลดล็อคตัวเครื่องได้รวดเร็วขึ้น
ปลดล็อคด้วยเสียง
การใช้เสียงเพื่อปลดล็อคเครื่องเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานใน Axon โดยการบันทึกเสียงเป็นคำพูดเอาไว้ ซึ่งการบันทึกเสียงจะต้องพูดคำเดิมจำนวน 3 ครั้งเพื่อความแม่นยำในการใช้งาน แต่จากการใช้งานจริงจะค่อนข้างลำบากหากอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังรบกวน
Mi-Assistant
เป็นแอพจัดการระบบที่ทำงานได้ง่ายในคลิกเดียว ไม่ว่าจะเป็นการสแกนไวรัสด้วย Avast, เพิ่มความเร็วด้วยการเคลียร์หน่วยความจำและปิดการทำงานแอพ, เร่งความเร็วโดยการลบไฟล์ขยะ เป็นต้น
การจัดการพลังงาน
ZTE Axon มีแบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh มีตัวจัดการพลังงานที่แสดงประมาณคงเหลือของแบตเตอรี่ และระยะเวลาการใช้งานต่าง ๆ ซึ่งมาพร้อมโหมดการใช้งานแบบเต็มสูบตามการเรียกใช้งานของซีพียู และโหมดประหยัดพลังงานตามการใช้งานต่าง ๆ
ตรวจสอบเซ็นเซอร์ด้วย Android Sensor Box และมัลติทัช |
- Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้
- Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
- Orientation Sensor ระบบปรับมุมมองการแสดงผลหน้าจออัตโนมัติ
- Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน
- Gyro Sensor ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3 แกน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และ
ความยืดหยุ่นหลากหลายในการควบคุม - Sound Sensor ตรวจวัดระดับเสียง
- Magnetic Sensor ตรวจวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก
- รองรับมัลติทัช
ผลทดสอบคะแนน Benchmark และประสิทธิภาพการทำงาน |
ZTE Axon รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0.2 Lollipop ซึ่งเป็น 64-bit ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Qualcomm MSM8994 Snapdragon 810 Octa-core (Quad-core 1.5 GHz Cortex-A53 และ Quad-core 2 GHz Cortex-A57) ซึ่งเป็นซีพียู 64-bit ตัวเดียวกับเรือธงหลาย ๆ รุ่น โดยตัวระบบและซีพียูต่างก็เป็น 64-bit ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด กับแรม 3GB และจีพียู Adreno 430
ผลการทดสอบ AnTuTu 6.0 ในโหมด 64-bit ซึ่งเป็นการทดสอบการเข้าถึงการทำงานของแรม และประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือจีพียู ทำคะแนนรวมได้ 77,489 คะแนน คะแนนถือว่าสูงมาก และทิ้งห่างเรือธงจากบางค่ายที่ใช้ชิปประมวลผลตัวเดียวกันนี้ด้วย
ทดสอบด้วย Geekbench 3 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผลและหน่วยความจำแรม การทดสอบนี้จะทำการประมวลออกมาเป็นตัวเลขแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Single-Core และ Multi-Core หากได้คะแนนยิ่งสูงประสิทธิภาพการทำงานจะยิ่งดี โดยผลทดสอบของ ZTE Axon ทำคะแนน Single-Core ได้ 1,341 และ Multi-Core ทำได้ 4,109 คะแนน
กล้องถ่ายรูป |
ZTE Axon มีกล้องหลังแบบคู่ โดยกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และกล้องเสริมความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มีระบบออโต้โฟกัส และแฟลช Dual-LED, รองรับการแนบตำแหน่งแผนที่ลงในภาพถ่าย, HDR และถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 2160p ที่ความเร็ว 30fps
กล้องหลังถ่ายภาพได้ขนาดสูงสุด 4096 x 3072 พิกเซล (ประมาณ 12.58 ล้านพิกเซล) ในอัตราส่วน 4:3 และขนาดสูงสุด 4096 x 2304 พิกเซล (ประมาณ 9.4 ล้านพิกเซล) ในอัตราส่วน 16:9
แอพกล้องยังมีลูกเล่นฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานขณะถ่ายรูป พร้อมแสดงตัวอย่างให้เห็นก่อนถ่ายจริงอีกด้วย
ลูกเล่นที่มาพร้อมกับกล้องหลังคู่ ก็คือ การถ่ายภาพเบลอ ซึ่งเป็นการถ่ายภาพโดยการเก็บรายละเอียดทุกจุดและระยะภาพมาเก็บไว้ก่อน จากนั้นเราค่อยมาเลือกจุดโฟกัสและปรับความเบลอภายหลังจากถ่ายแล้วแนะนำให้เลือกค่า F ระหว่าง 1 – 1.6 สำหรับการถ่ายภาพเพื่อมาทำภาพเบลอ
ภาพที่ถ่ายด้วยโหมดเบลอจะสามารถเลือกจุดโฟกัสภายหลังได้ และปรับความเบอลได้ 5 ระดับ ซึ่งจากการใช้งานแม้ว่าการเบลอของภาพอาจจะยังไม่สมจริงเหมือนกับการใช้กล้องใหญ่ถ่าย แต่ก็ถือว่าใช้งานในระดับที่พอใจ
โหมดที่มีให้ใช้งาน ได้แก่ โหมดปรับด้วยมือ, หมุน, ภาพซ้อน, ภาพช้า, พาโนรามา และกีฬา
โหมดปรับด้วยมือ (Manual mode) เป็นโหมดที่สามารถกำหนดค่าต่าง ๆ ของกล้องได้ ได้แก่ ความเร็วชัตเตอร์, ISO, การรับแสง, ค่าสมดุลแสงสีขาว, จุดวัดแสง และระยะโฟกัส ซึ่งช่วยให้มีลูกเล่นในการถ่ายภาพมากกว่าโหมดออโต้
กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ก็มีโหมดหน้าสวยที่ปรับได้ 5 ระดับเอาใจคอเซลฟี่ และมีระบบชัตเตอร์ด้วยรอยยิ้มได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่าย
สรุปจุดเด่น
- ตัวเครื่องดีไซน์สวยงาม แม้จะไม่ใช่โลหะทั้งตัว แต่ก็ผสานอย่างลงตัวระหว่างโลหะกับพลาสติกที่ให้ความรู้สึกคล้ายหนัง และหน้าจอขนาดใหญ่ 5.5 นิ้ว ความคมชัดระดับ Full HD
- รันระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop และเลือกใช้ชิปเซ็ต Qualcomm MSM8994 Snapdragon 810 ซีพียู Octa-core กับแรม 3 GB
- ความจำภายในตัวเครื่อง 32GB เพิ่มได้ด้วย microSD card สูงสุด 128GB (ใส่ช่องซิม 2)
- กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช Dual LED ถ่ายภาพเบลอออกมาได้น่าพอใจ และกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ 3,000 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ทำงานได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอก่อน ซึ่งการประมวลผลของตัวเซ็นเซอร์ทำงานได้รวดเร็วมาก
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ใช้งานได้ทุกเครือข่ายในไทยทั้ง 3G และ 4G
จุดสังเกตเพิ่มเติม
- แฟลชกล้อง Dual-LED เป็นโทนสีเดียว ถ้าเป็นแบบ Dual tone จะดีมาก
- แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้
ขอบคุณ ZTE Mobile Devices Thailand